วันจันทร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2554

โปรตีนคือ ?

โปรตีน           
        เป็น สารอาหารซึ่งจำเป็นต่อร่างกายของคนเราอย่างมาก หน้าที่สำคัญของโปรตีน คือ เอาไปสร้างเนื้อเยื่อต่างๆ ของร่างกาย สร้างเป็นโปรตีนที่สำคัญๆ ของร่างกาย เช่น ฮีโมโกลบิน ที่ทำหน้าที่ขนถ่ายอ๊อกซินเจนในเม็ดเลือดแดง เอ็นซัยม์ฮอร์โมนบางชนิด ฉะนั้นในคนไข้โรคไต ก็ยังจำเป็นที่จะได้รับโปรตีนอยู่ แต่ขึ้นอยู่กับปริมาณมากหรือน้อย            
        ในคนปกติผู้ใหญ่ต้องการโปรตีนประมาณ 1 กรัม ต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม ต่อวัน ในคนไข้โรคไตที่มีการสูญเสียโปรตีนออกมาใน ปัสสาวะก็จำเป็นจะต้องกินโปรตีนเพิ่มขึ้น เช่น ถ้าสูญเสียไข่ขาวออกมาในปัสสาวะวันละ 7 กรัม ก็อาจจะต้องกินไข่เพิ่มขึ้นอีกวันละ 1 ฟอง ซึ่งจะได้โปรตีนประมาณ 7 กรัม            
         ใน ทางตรงกันข้าม คนไข้ที่อยู่ในระยะไตวายหรือมีการอักเสบของไต การขับถ่ายปัสสาวะเป็นไปได้น้อยลง ในพวกนี้โปรตีนที่เรากินเข้า ไปจะถูกเผาผลาญเป็นสารอีกหลายชนิด ซึ่งสารหลายอย่างขับถ่ายออกทางปัสสาวะ ถ้ามีคั่งอยู่ในร่างกาย ก็จะเป็นพิษเป็นภัยต่อร่างกาย ด้วย ในกรณีอย่างนี้จำเป็นจะต้องลดปริมาณโปรตีนในอาหารลง            
          การที่จะกินอาหารโดยเพิ่มโปรตีนหรือลดโปรตีนในโรคไต จำเป็นจะต้องขอแนะนำจากแพทย์อย่างละเอียดก่อนที่จะปฏิบัติตน          อาหาร ที่มีโปรตีนสูงนอกจากเนื้อสัตว์ เครื่องในสัตว์ เช่น หัวใจ ตับไต ปอด กระเพาะอาหาร ลำไส้ เป็นต้น มีโปรตีนมากทั้ง สิ้น ส่วนอาหารชนิดอื่นที่มีโปรตีนมาก ก็ได้แก่ นมและไข่ ถั่วเมล็ดแห้ง เช่นถั่วเหลือง ถั่วลิสง ถั่วเขียว ถั่วแดง ถั่วดำ เป็นต้น ผักและผลไม้ เกือบจะไม่มีโปรตีนเลย ในขณะนี้มีผู้นำโปรตีนจากถั่วเหลืองแห้ง มาทำเป็น เนื้อเทียม เมื่อนำมาแช่ในน้ำให้นุ่มและพองตัวดีแล้วจะมีโปรตีนมากพอๆ กับเนื้อ สัตว์ทีเดียว เพราะฉะนั้นถ้าต้องการลดอาหารพวกโปรตีน จะต้องระวังพวกเนื้อเทียมด้วย
          ส่วนวุ้นเส้นซึ่งทำจากถั่วเขียวไม่มีโปรตีนหลงเหลือ อยู่เลย เพราะในกระบวนการทำได้ชะล้างโปรตีนไปทำเป็นเนื้อเทียมหมด โปรตีน ชั้นดีและโปรตีนชั้นเลว โปรตีนชั้นดีหรือโปรตีนชั้นเลว ไม่ได้แบ่งตามราคาของเงิน แต่แบ่งตามคุณค่าทางโภชนา การ โดยคำนึงถึงหลัก 1 ประการ คือ ปริมาณของโปรตีนในอาหารซึ่งหนักเท่ากันมีมากน้อยแค่ไหน และมีคุณภาพอย่างไร เพราะฉะนั้น เมื่อเรารับประทานเนื้อสัตว์ เช่น ไก่ หมู ปลา เข้าไป 1 ขีดหรือ 100 กรัม จะได้โปรตีนประมาณ 20-25 กรัม
           ถ้ากินถั่ว เมล็ดแห้ง เช่น ถั่วเขียว ถั่วดำ ก็จะมีโปรตีน แต่ถั่วลันเตา ถั่วฝักยาวมีโปรตีนไม่มาก ข้าวสารดิบ 100 กรัม มีโปรตีนเพียง 7 กรัมเท่านั้น พอ หุงสุกแล้ว ยิ่งมีโปรตีนน้อยลง ในด้านคุณภาพ จะต้องทราบว่า โปรตีนประกอบด้วย หน่วยที่เล็กที่สุด เรียกว่า กรดอะมิโน กรดอะมิโน ที่สำคัญคือ กรดอะมิโน จำเป็น ซึ่งร่างกายสร้างไม่ได้ ต้องได้จากอาหารที่กินเข้าไปเท่านั้น ถ้ากินเนื้อสัตว์ ไข่ นม จะมีกรดอะมิโนอย่างครบถ้วน ได้ทั้งกรดอะมิโนจำเป็นทั้งหมด ถ้ากินถั่วเมล็ดแห้ง อาจจะขาดกรดอะมิโนตัวหนึ่งที่เรียกว่า เมทไทโอนิน (Methionine) ถ้ากินข้าว ก็อาจจะขาดกรดอะมิโนสองตัว คือ ไลซีน (Lysine) กับคลีโอนิน (Cleonin) แต่ถ้ากินเนื้อสัตว์ กินถั่วเมล็ดแห้ง กินนม กินไข่ ในแต่ละมื้อ สามารถจะชดเชยซึ่งกันและกันได้ ทั้งในแง่ปริมาณและคุณภาพ


Original Kinesio Taping Method

วันพุธที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2554

อัพเดทคะแนนการแข่งขัน 2สหายสลาย Fat กันหน่อยครับ

 
อัพเดทกิจกรรม 2สหายสลาย Fat
ชื่อทีมชื่อผู้เล่นรวมวิ่งรวม Sit upลำดับที่
ตามใจพรชัย121881

รุ่งทิพย์


Run a day Walk a dayณัฐ6885

แก้ว


เต็งหนึ่งชัยฤทธิ์675





V.V. สู้ตายวิทยา121782

พิชยาภา


จ้าวอย่าหวังจิตติ121134

วราภรณ์


หนวดงามอนุกูล121613

นชาพร


ไม่รีบธมกร00

ลลิตา


สุดจะบรรยายปัณณวิชญ์00

ออยส์


แพ้ไม่เป็น(ท่า)เฟิร์ส331

ปู


ขำ ขำนิกกี้333

แอนนี้


บู้ บี้กั้ง00

แหม่ม


หมูสนามพี่บอย664

ฉลวย


แสลมส์ดั้งพี่เอ๊กซ์00

นุ้ย


วันจันทร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Zumba Instruction - Beginner

ความจริงเกี่ยวกับการไดเอ็ต & ความอ้วน


ยิ่งไดเอ็ต ยิ่งไม่ผอม เพราะอะไร? 

           เทคนิคการลดอาหาร หรือที่เรียกกันติดปากว่า ไดเอ็ต(diet)” จากการวิจัยพบแล้วว่า ยิ่งลดอาหารมากเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่สามารถลดน้ำหนักได้เท่านั้น นั่นก็เพราะว่า ขณะที่คุณลดอาหารปริมาณมากๆ ร่างกายจะรับรู้เสมือนว่ากำลังเกิดภาวะขาดแคลนอาหาร ขบวนการเพื่อความอยู่รอดของร่างกายจะทำการปรับตัวให้สามารถดึงพลังงานจาก อาหารที่มีอยู่มาใช้ให้มีประโยชน์มากที่สุดเท่าที่จะทำได้   
           ดูเหมือนว่าจะเป็นสิ่งที่ดี แต่เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณเลิกไดเอ็ต (รับปริมาณอาหารมากขึ้น ) ร่างกายมีความสามารถในการกักเก็บอาหารเป็นไขมันได้มากยิ่งขึ้น เพื่อสำรองพลังงานไว้ใช้ในยามที่เกิดการขาดแคลนอีก คาร์โบไฮเดรต (แป้ง) vs ความอ้วน คาร์โบ ไฮเดรต จะถูกเก็บสะสมไว้ในรูปของไกลโคเจนที่ตับและกล้ามเนื้อ ซึ่งเป็นแหล่งพลังงานหลักของร่างกาย ถ้าปราศจากอาหารประเภทคาร์โบฯแล้ว ขบวนการทำงานต่างๆของร่างกายแทบเกิดขึ้นไม่ได้  โดยเฉพาะอวัยวะสำคัญเช่น หัวใจ และสมอง 
           หลายคนเข้าใจผิดว่าการอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตทำให้อ้วน  แท้จริงแล้วไม่ใช่  ร่างกายเลือกที่จะใช้พลังงานจากคาร์โบไฮเดรตเป็นพลังงานมากกว่าที่จะนำมันไปสะสมเป็นไขมัน การ ลดอาหารประเภทคาร์โบไฮเดรต เพื่อการลดน้ำหนัก เป็นเทคนิคที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ได้ผลจริง น้ำหนักอาจจะลดได้ถึงวันละครึ่งกิโล แต่เกิดขึ้นจากการที่ร่างกายดึงเอาโปรตีนที่กล้ามเนื้อและน้ำในร่างกายมาใช้ เป็นพลังงาน  เพราะในตอนที่คุณรับคาร์โปไฮเดรตไม่เพียงพอ ร่างกายจะเริ่มไปดึงเอาคาร์โบไฮเดรตที่สะสมไว้ในกล้ามเนื้อมาใช้แทน ทำให้คุณเสียปริมาณของกล้ามเนื้อและน้ำ และทำให้ขบวนการทางเคมีในการผลิตพลังงานถูกขัดขวางในการทำงาน อาการ ที่พบเนื่องจากการรับประทานคาร์โบไฮเดรตต่ำนั้นได้แก่ อ่อนเพลีย ไม่มีแรง และไม่สามารถปฏิบัติกิจวัตรประจำวันได้ดีเท่าที่ควร ถ้ารุนแรงมากอาจจะมีอาการคลื่นไส้ และผมร่วง    

วันจันทร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2554

Neiman's results clip

การนวดกับกีฬาสำคัญอย่างไร?


            ปัจจุบันจะเห็นว่านักกีฬาของหลายสมาคมกีฬามีความต้องการที่จะเรียกหาและเรียกใช้บริการ หมอนวดกัน อย่างแพร่หลายมากขึ้น การนวดมีความสำคัญอย่างไรในการเล่นกีฬา สำนักกีฬา มหาวิทยาลัยรามคำแหง ขอแนะนำการนวดในทางการกีฬา มีผลดีอย่างไรกับนักกีฬา           
             การ นวดในทางการกีฬา ต้องบอกว่ามีความสำคัญอย่างมาก เพราะปัจจุบันนี้ขณะที่เราเล่นกีฬาอยู่นั้นร่างกายมักเกิดอาการเมื่อยล้า และกล้ามเนื้อมีความตึงตัว หรือเกร็งตัว ซึ่งสิ่งนี้    ส่ง ผลให้ประสิทธิภาพในการทำงานของกล้ามเนื้อลดลงอย่างมาก ดังนั้นสิ่งสำคัญที่จะช่วยในการอ่อนล้าได้ คือ การนวดนั่นเอง แต่คนที่ทำหน้าที่นวดนั้น จะต้องมีความรู้พื้นฐานทางการนวดเป็นอย่างดี และที่สำคัญต้องมีความเข้าใจกระบวนการการเกิดการบาดเจ็บของร่างกายขณะเล่น กีฬาอย่างดีด้วย
              อาการเมื่อยล้าส่วนใหญ่พบได้บริเวณดังต่อไปนี้ การเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ เป็นภาวะที่กล้ามเนื้อทำงานหนักเกินไป หรือเป็นภาวะเกิดการล้าของกล้ามเนื้อแล้วผลที่ตามมาคือ ทำให้ความแข็งแรงของการหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง

สาเหตุของการเกิดการเมื่อยล้าของกล้ามเนื้อ

1.  เกิด จากการทำงานที่ผิดปกติของกลไกการหายใจ มีผลทำให้การนำเอาออกซิเจนไปเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อลดน้อยลง เพราะออกซิเจนเป็นสิ่งสำคัญที่ใช้ในการสร้างพลังงาน
2.  การ หดตัวค้างไว้เป็นเวลานาน ๆ ของกล้ามเนื้อ จะทำให้ออกซิเจนที่มาเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อลดลง ซึ่งเป็นภาวะปกติ ซึ่งสิ่งนี้จะเกิดขึ้นชั่วคราวในกรณีที่มีการออกกำลังกายเท่านั้น
3.  หาก เกิดความผิดปกติที่ระบบหายใจและหลอดเลือดจะทำให้ขาดเลือด และสารอาหารที่จะไปเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อ การขาดเลือดไปเลี้ยงส่งผลกระทบทำให้เกิดการสะสมของของเสียเกิดขึ้นมากกว่า ปกติขณะที่กล้ามเนื้อมีการทำงาน
4.  การ ขาดสารอาหารจะทำให้ขาดกลูโคสไปเลี้ยงที่กล้ามเนื้อ จะส่งผลให้พลังงานที่ใช้ในการหดตัวของกล้ามเนื้อลดลง เนื่องจากกระบวนการสร้างพลังงานของร่างกาย ต้องการสารอาหารที่กินเข้าไปร่วมกับออกซิเจนที่หายใจเข้าไป
5.  การ ลดลงของการนำแคลเซี่ยมเข้าสู่ร่างกายหรือการดูดกลับที่ไม่สมบูรณ์ จะทำให้เกิดการกำจัดความแข็งแรงและการหดตัวของกล้ามเนื้อ เนื่องจากแคลเซี่ยมไอออนใช้ในกระบวนการหดตัวของกล้ามเนื้อ
6.  ผลิตผล ที่เกิดจากการที่กล้ามเนื้อมีการหดตัว ซึ่งเป็นผลมาจากกระบวนการที่เกิดจากการหดตัวของกล้ามเนื้อผลิตผลทั้งหมดนี้ เป็นของเสียและทำให้กล้ามเนื้อมีการอ่อนแรง ไม่สามารถหดตัวได้เต็มที่การ นวดทำให้อาการเมื่อยล้าลดลง ที่สำคัญการนวดนั้นจะไปเพิ่มเลือดไปเลี้ยงบริเวณกล้ามเนื้อมากขึ้น ทำให้กล้ามเนื้อได้รับสารอาหารเพิ่มมากขึ้น นอกจากนี้ยังพบว่าการนวดสามารถทำให้ลดการคั่งค้างของเสียได้อีกด้วย 
การเกร็งของกล้ามเนื้อ เกิดจากการหดตัวอย่างทันทีของกล้ามเนื้อแบบไม่ได้ตั้งใจ ส่วนในกรณีที่เป็นการเกร็งเรื้อรัง จะเกิดจากการที่กล้ามเนื้อมีการหดตัวสลับกับการคลายตัว หรือมีการหดตัวค้างไว้นาน ๆ อาการเกร็งและปวดเกร็งที่มากขึ้นอาจทำให้เกิดการเป็นตะคริวได้ การที่กล้ามเนื้อมีการตึงตัวขณะที่กล้ามเนื้อหดตัวบ่อย ๆ มักทำให้เกิดการบาดเจ็บบริเวณเนื้อเยื่อถูกทำลายและมีอาการปวด           
            ดัง นั้นการนวดจะทำให้การไหลเวียนดีขึ้นและช่วยลดการสร้างสารเมต้าโบไลท์ ลดแรง ที่กดบนตัวรับความรู้สึกปวด ทำให้อาการปวดลดลง การขาดเลือดของกล้ามเนื้อมักจะทำให้เกิดการอักเสบพอ ๆ กับเนื้อเยื่อถูกทำลายและมีอาการปวด 

กล้ามเนื้อมีพังผืด พังผืด เกิดจากการสร้างของพังผืดที่ผิดปกติที่เกิดขึ้นที่เนื้อเยื่อ เป็นสิ่งที่เกิดขึ้นหลังจากที่กล้ามเนื้อได้รับการเสียหายหรือการอักเสบ อาการดังกล่าวเกิดจากที่กล้ามเนื้อมีการยืดค้างไว้นาน ๆ เพราะว่าเซลล์ของกล้ามเนื้อส่วนมากแล้วไม่สามารถแบ่งตัวได้ การบาดเจ็บหรือเสื่อมสภาพของกล้ามเนื้อจะถูกแทนที่ด้วยพังผืด

            การ เกิดพังผืด มักพบบ่อยที่กล้ามเนื้อที่ใช้ในการทรงตัว เช่น กล้ามเนื้อบริเวณหลัง โดยปกติแล้วเกิดจากการที่มีการใช้งานมากเกินไป หรือกลไกที่มีทำให้มีการยืดต่อรูปแบบของการรักษาท่าทาง           
            การ นวดจะทำให้ป้องกันการเกิดพังผืด ใครที่เริ่มรู้ว่ามีพังผืดเกิดขึ้นควรรีบเข้ารับการรักษา เพราะเมื่อเกิดเป็นพังผืดแล้วจะมีการเพิ่มมากยิ่งขึ้น ถ้ากล้ามเนื้อมีการใช้แรงงานมากเกินไป หรือเกิดจากความไม่สมดุลของกล้ามเนื้อที่ใช้ในการทรงตัว การนวดจะช่วยทำให้เพิ่มหน้าที่การทำงานของกล้ามเนื้อและทำให้กล้ามเนื้อที่ ใช้ในการทรงตัวอยู่ในสภาวะสมดุล 

การนวดทางการกีฬาที่สำคัญแบ่งการนวดออกเป็น 3 ช่วงดังนี้

1.  การนวดก่อนการฝึกซ้อมกีฬา หรือก่อนการเล่นกีฬา ควรมีการนวดเพื่อช่วยใน     การอบอุ่นกล้ามเนื้อ เพื่อลดอัตราเสี่ยงของการบาดเจ็บที่เกิดขึ้นขณะทำการฝึก ดังนี้
-          การลูบหลัง และกด
-          การบีบโดยเทคนิคที่ทำคือ จะต้องใช้แรงกดน้อย แล้วเคลื่อนไหวเร็ว
-          การเคาะเบา เทคนิคทั้ง 3 นี้ควรจะทำสลับกันไปมา และทำหลาย ๆ ครั้ง ถ้ามีการยืดกล้ามเนื้อบริเวณแขนขาจะช่วยให้ความอบอุ่นของกล้ามเนื้อด้วย
2.  การนวดขณะทำการฝึกซ้อม การทำการฝึกหรือการเล่นกีฬา การนวดจะช่วยทำให้สมรรถภาพการทำงานของกล้ามเนื้อ การนวดขณะทำการฝึกซ้อมประกอบกับเทคนิคดังนี้
-          เทคนิคการลูบหนัก จะช่วยให้มีการเคลื่อนที่ของของเสียที่เกิดขึ้น หลังจากที่กล้ามเนื้อมีการทำงาน
-          การ บีบ และ การคลึง จะช่วยให้ลดการตึงของกล้ามเนื้อ และช่วยทำให้เกิดการเคลื่อนไหวได้มากขึ้น เนื่องจากพังผืดบริเวณกล้ามเนื้อ และข้อต่อลดลง
-          การยืดกล้ามเนื้อ เพื่อความยืดหยุ่นของกล้ามเนื้อ ทำให้สามารถเคลื่อนไหวได้มากขึ้น
3.  การนวดหลังการฝึกซ้อม การ นวดหลังการเล่นกีฬามีความสำคัญอย่างไร เราพบว่ากล้ามเนื้อจะมีของเสียเกิดขึ้นมาก เช่น แลคติก แอซิค คาร์บอนไดออกไซด์ และน้ำ พบว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเหล่านี้สามารถทำให้กล้ามเนื้อเกิดอาการล้า หรือสูญเสียหน้าที่การทำงานไปบางส่วนได้ การลูบจะช่วยให้ของเสียที่คั่งค้างลดลง และทำให้ออกซิเจน และสารอาหารไปยังกล้ามเนื้อมากขึ้น แต่ไม่ควรนวดหลังจากการฝึกเล่นกีฬาในทันทีทันใด การนวดควรทำหลังจากการฝึกซ้อมหรือการเล่นกีฬาไปประมาณ 30 นาที อาจจะมากหรือน้อยกว่านี้ขึ้นอยู่กับชนิดของกีฬาหรือลักษณะของการฝึกซ้อม 
            ดัง นั้นจะเห็นได้ว่าประโยชน์ของการนวดในทางกีฬา ไม่ต้องสงสัยเลยว่าปัจจุบันนี้ทำไมนักกีฬาไทยและนักกีฬาทั่วโลกจึงหันมาให้ ความสำคัญกับการนวดมากขึ้น เพราะ ว่าการนวดมีประโยชน์มากเกินกว่าจะบรรยาย ข้อมูลโดย คุณสุภาภรณ์ ศิลาเลิศเดชกุล (ภาควิชาวิทยาศาสตร์การกีฬา มหาวิทยาลัยศรีนครินทรวิโรฒ)  วารสารวิทยาศาสตร์การกีฬา และวารสารกีฬา ประจำเดือนเมษายน พ.. 2548 ของการกีฬาแห่งประเทศไทย (ฝ่ายวิชาการ นายสมคิด  ชูฤทธิ์ สำนักกีฬา ม..)

วันจันทร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2554

หลักเบื้องต้นในการปฐมพยาบาล

ความสำคัญ

1.      นักกีฬา  หรือผู้ที่ออกกำลังกายโดยทั่วไป มักเกิดการบาดเจ็บที่ระบบโครงร่าง  เนื่องจากต้องใช้ระบบโครงร่างนี้ทำกิจกรรมเป็นส่วนใหญ่ ผู้คนให้ความสนใจเล่นกีฬากันมากขึ้น  การบาดเจ็บจากการกีฬา  และการออกกำลังกายจึงพบได้บ่อยขึ้น
2.      รักษาความผิดปกติที่เกิดอย่างเฉียบพลัน ( impairment )ได้เร็วมากขึ้น  การรักษาด้วยมือ และการออกกำลังกาย  ในบางรายให้ผลดีกว่าการผ่าตัดที่มักมีผลข้างเคียง  และยากต่อการฟื้นสภาพ
3.      การปฐมพยาบาล เป็นการป้องกันมิให้พยาธิสภาพนั้นเลวร้ายลง  หรือให้คงตัวอยู่เพียงแค่นั้น  เพราะหากไม่ทำการรักษาแต่ต้น  ย่อมทำให้ยากต่อการฟื้นตัวกลับ  รวมไปถึงในภาวะที่รุนแรงถึงชีวิต  เช่น กระดูกคอหัก ย่อมต้องได้รับการดูแล  และส่งต่อทันการณ์ รวมทั้งก่อให้เกิดผลเสียตามมาน้อยที่สุด 

ความหมาย

                   การปฐมพยาบาล  หมายถึงการดูแล  จัดการผู้ป่วย  การตรวจประเมิน   และการเตรียมส่งต่อผู้ป่วยไปถึงมือแพทย์  อย่างปลอดภัย  โดยลดอันตรายที่อาจเกิดขึ้น  และบรรเทาอาการให้ลดน้อยที่สุด  โดยเน้นที่ประเด็นต่อไปนี้
1.      การปฏิบัติแรกเริ่ม  เป็นขั้นตอน  กระชับ  แม่นยำ  และรวดเร็ว  ใช้เวลาน้อยที่สุด 
2.      การเรียงลำดับความสำคัญของปัญหา  การเลือกปฏิบัติก่อน หลัง  เนื่องจากปัญหาอาจเกิดขึ้นพร้อมกันมากกว่า  1  ปัญหา  แต่ ปัญหาใดที่ต้องการดูแลเร่งด่วน  ลำดับก่อน หลัง  มีความสำคัญมากต่อการปฐมพยาบาล
3.      ความแม่นยำในการวิเคราะห์การบาดเจ็บที่แอบแฝงอยู่ เนื่องจากผู้ป่วยคนหนึ่ง อาจได้รับการบาดเจ็บพร้อมกัน   2  อย่างหรือมากกว่า การบาดเจ็บอย่างหนึ่งอาจทำให้เกิดอาการที่สามารถเห็นได้ชัด  และดึงดูดความสนใจมากกว่าอาการอีกอย่างหนึ่ง  ทั้งๆ ที่การบาดเจ็บอย่างหลังนั้นมีอันตรายถึงชีวิต  ทำอย่างไรจึงจะสามารถแยกแยะให้ออก  เพื่อนำไปสู่การรักษาที่เหมาะสมได้4.      รูปแบบการเคลื่อนย้ายผู้ป่วยไปยังสถานพยาบาล  ได้อย่างมีประสิทธิผล  ไม่ก่อให้เกิดการบาดเจ็บที่มากขึ้น  หรือเลวร้ายกว่าเดิม


วันศุกร์ที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2554

คอแดงหรืออักเสบ มีอะไรซ่อนอยู่



บ่อยครั้งที่แพทย์ตรวจแล้วบอกผู้ป่วย โดยเฉพาะกับคุณพ่อคุณแม่ว่าลูกคอแดง นั้น 
มีความสำคัญอย่างไร ? 

ถ้า พูดแบบตรงไปตรงมาเลย คือแพทย์ต้องการสื่อว่าเกิดพยาธิสภาพหรือการอักเสบขึ้นกับเยื่อบุของอวัยวะ ต่าง ๆในช่องคอ โดยมีการอักเสบหรือการติดเชื้อเกิดขึ้น ไม่ว่าจะเป็นจาก เชื้อไวรัส แบคทีเรีย เชื้อรา หรืออื่น ๆ และเป็นเหตุเป็นผลพอที่จะให้ยาหรือยาปฏิชีวนะกับเราหรือบุตรหลานเราได้อย่าง มั่นใจ ดังนั้นเวลาที่แพทย์บอกว่า “คอแดง” นั้นแพทย์มักจะหมายถึงมีการอักเสบแดงของผนังคอด้านหลัง หรือ คอหอย (ซึ่งมักมีเสียงแหบ เจ็บคอร่วมด้วยมากกว่า) หรือ ต่อมทอนซิลที่อักเสบ 
โดยบางครั้งการแดงอาจมีตั้งแต่น้อยไปจนถึงมาก เลยไปถึงการอักเสบเป็นจุดหนองนั้น ซึ่งสาเหตุ
แตกต่างกันไป โดยไม่ได้หมายความว่าจะเกิดจากการติดเชื้อเสมอไป ลักษณะคอแดง 
สามารถแบ่งออกได้เป็น 3 กลุ่ม ดังนี้

1.คอแดงแบบไม่มีพยาธิสภาพหรือการติดเชื้อ

   ในที่นี้หมายถึง เยื่อบุในผนังคอที่แดงจากภาวะไข้ทั่วไปโดยที่ไม่ได้จำเป็นต้องมีคออักเสบ เช่น เวลาไข้สูง  ซึ่งผู้ปกครองก็คงคิดเหมือนกันว่ามันก็แดงไปหมดทั้งตัวแหละ ซึ่งเป็นความจริง ในบางครั้งระยะเริ่มแรกการติดเชื้อเราอาจแยกได้ไม่ชัดเจน และโดยส่วนใหญ่โดยเฉพาะผู้ป่วยเด็กมักเป็นการติดเชื้อไวรัสเสียส่วนใหญ่ทำ ให้บางทีอาจแยกออกได้ยาก หรือบางครั้งกินอาหารที่มีสี ๆ ก็อาจทำให้แดงได้เหมือนกัน แต่แพทย์มักดูออก ซึ่งกลุ่มนี้มักไม่จำเป็นต้องได้รับยาปฏิชีวนะ

2.คอแดงแบบมีพยาธิสภาพหรือมีการติดเชื้อร่วมด้วย

ข้อนี้แพทย์จะบอกว่าคอลูกแดงชัดเจน มีขอบเขตแยกส่วนที่อักเสบและไม่อักเสบเห็นได้ชัด (demarcation) ซึ่งโดยส่วนใหญ่สาเหตุการแดงอักเสบแบบนี้มักเกิดจากเชื้อแบคทีเรียเป็นส่วน ใหญ่ ซึ่งแพทย์มักบอกหรือให้ข้อมูลว่าเป็นการติดเชื้อแทรกหรือร่วม (superimposed infection) เพราะจริง ๆ แล้วในเด็กสาเหตุเริ่มแรกมักเป็นไวรัสเกือบถึงร้อยละ 80 นอกจากนี้แพทย์มักจะพิจารณาจากอาการร่วม เช่น เป็นมาหลายวันแล้ว อย่างน้อย 3-5 วัน, มีไข้สูง, ดูอาการแย่ (toxic symptom), อาจเจ็บคอมาก, มีกลิ่นปาก, เสมหะเหนียวเขียว ซึ่งแพทย์มักสั่งยาปฏิชีวนะที่เหมาะสมมาให้รับประทาน เพราะสมเหตุ
สมผล

3.คอแดงร่วมกับมีจุดร้อนในหรือมีหนอง อาจลุกลามไปที่ทอนซิลสองข้างด้วย

อันนี้ค่อนข้างแน่ใจได้ว่าสาเหตุส่วนใหญ่เป็นจากแบคทีเรียถึงราว 70-80% ส่วนที่เหลือเล็กน้อยนั้น สาเหตุอาจเกิดจากเชื้อไวรัสบางกลุ่มได้ ที่ทำให้เกิดมีฝ้าขาวคลุมที่ทอนซิลหรือมีจุดร้อนในกระจายทั่วในปากหรือใน กระพุ้งแก้ม คือเชื้อไวรัสกลุ่ม EB virus หรือ Coxackies virus ครับ ซึ่งถ้าตรวจพบคอแดงและมีจุดหนอง (คล้าย ๆ ร้อนใน) กลุ่มนี้อาการเจ็บคอจะค่อนข้างมากครับ กินอะไรไม่ค่อยได้ มีกลิ่นปาก เด็กเล็กอาจสังเกตว่ามีน้ำลายไหลมากกว่าปกติ ไม่ค่อยดูดนม ไข้มักขึ้นสูงขึ้น ๆ ลง ๆ เป็นช่วง ๆ เรียกว่าหมดฤทธิ์ยาลดไข้ก็มากันทีเดียวจนผู้ปกครองส่วนใหญ่กังวล ผู้ป่วยมักมีอาการปวดเมื่อยตามตัว อ่อนเพลีย เพราะเชื้อแบคทีเรียบางส่วนอาจเล็ดลอดเข้าสู่กระแสเลือด แล้วร่างกายพยายามสร้างกลไกป้องกันตามธรรมชาติขึ้นกับสารที่เชื้อสร้างขึ้น (pyrogen) ดังนั้นเมื่อไข้สูงเชื้อก็ไม่สามารถเพิ่มจำนวนได้เนื่องจากอุณหภูมิกายที่ สูง ไม่เหมาะสำหรับเชื้อในการเพิ่มจำนวนของเชื้อแบคทีเรีย และเป็นการเตือนตัวผู้ป่วยไปด้วยในตัวว่าเกิดความเจ็บป่วยขึ้นสมควรต้องพัก และรับการรักษา การรักษาโดยการให้ยาลดไข้ในกลุ่มนี้เป็นเพียงการประคับประคองเท่านั้น เพราะผู้ปกครองหรือผู้ป่วยเองจะมาบอกว่ากินยาแล้วทำไมไข้ไม่ลดลง ถ้าเห็นอาการแบบนี้แล้ว ส่วนใหญ่ร้อยทั้งร้อย มักจะมีสาเหตุมาจากเชื้อแบคทีเรียเสียเป็นส่วนใหญ่ ซึ่งมักเป็นกลุ่มเชื้อสเต็ปโตคอคคัส (streptococcus) สายพันธุ์ต่าง ๆ ซึ่งก็สามารถรักษาด้วยยาปฏิชีวนะ กลุ่มเพนนิซิลินหรืออนุพันธ์ หรือยากลุ่มอื่น ๆ ได้ โดยควรจะ  กินยาให้ครบอย่างน้อย 7-10 วัน

 ทีนี้คงทราบกันคร่าว ๆ แล้วว่า การที่แพทย์ชอบบอกว่าคอแดง ๆ นั้นเป็นอย่างไร? แต่บางครั้งก็อย่าโกรธกันว่าแพทย์บางท่านให้ยาปฏิชีวนะ บางท่านอาจไม่ให้ยาเพียงแค่รักษาตามอาการ เพราะขึ้นกับสถานการณ์ต่าง ๆ และอาการทางคลินิก ที่ตรวจพบร่วมในขณะนั้น ระยะเวลาที่เป็นว่าเพิ่งเริ่มหรือเป็นมาหลายวันแล้ว โดยแพทย์มักจะฟันธงว่าให้หรือไม่ให้ยาปฏิชีวนะไปเลย เพราะถ้าถามผู้ป่วย ผู้ป่วยส่วนใหญ่ก็คงตอบว่าแล้วแต่หมอ...

แต่ถ้ากรณีที่แพทย์แนะนำให้กินยาปฏิชีวนะแล้วผู้ปกครองไม่อยากให้ลูกกิน ตรงจุดนี้ก็คงต้องแบกรับความเสี่ยงตรงนี้ไป พูดไปก็มีข้อดี-ข้อเสีย เพราะเมื่อสมัยก่อนสมัยที่ยังไม่ได้ใช้ยาปฏิชีวนะมากเช่นทุกวันนี้ อุบัติการณ์ของ โรคหัวใจรูมาติคเกิดขึ้นมากเสียจนหมอโรคหัวใจเด็กทำงานกันแทบไม่ทัน 
พอถึงยุคนี้มีการให้ยาปฏิชีวนะกันมากขึ้น อุบัติการณ์ของโรคนี้ลดลงไปมากจนแทบจะหาไม่ค่อยเจอ 
ข้อเสียของการ ให้ยาเร็วไปโดยที่หลักฐานไม่ชัดก็มี เช่น ข้อแรกคือความเสี่ยงต่อการแพ้ยา ซึ่งปัจจุบัน
ดีขึ้น เพราะมียาหลายกลุ่มที่เสี่ยงต่อการแพ้น้อยลงให้เลือกใช้ แม้จะไปคาดเดาไม่ได้ว่าจะเกิดหรือไม่เกิด ข้อสองคือเสียเงิน (เพราะยาปฏิชีวนะมักแพง) นอกนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรต้องกังวล เพราะถ้าแพทย์ให้ตามเหตุผลจำเป็นจริง ๆ โดยต้องกินตามระยะเวลาที่แพทย์กำหนดก็จะไม่เกิดการดื้อยาของเชื้อโรค (ยกเว้นว่าผู้ป่วยกินไม่ครบ) ตัวยาส่วนใหญ่มักไม่สะสมมักจะถูกเมตาโบไลต์ที่ตับและไปกำจัดทิ้ง ทางอุจจาระ ปัสสาวะหมด โดยสังเกตง่าย ๆ ว่าทำไมต้องกินทุก 8 หรือ 12 ชม. เพราะฤทธิ์ยามันลดลงจากการที่ร่างกายขับออกไป
เมื่อมาถึงตรงนี้แล้ว ก็จะเป็นการคลายความสงสัยในสิ่งที่แพทย์มักพูดบ่อย ๆ กับพ่อแม่ที่มีลูกเป็นคอแดงหรือคออักเสบ ซึ่งข้อมูลสำคัญที่นำเสนอนี้จะเป็นการสร้างความเข้าใจอันดีระหว่างแพทย์กับ ผู้ป่วยได้เป็นอย่างดี ซึ่งแน่นอนเลยว่าจะเป็นประโยชน์ต่อบุตรหลานของท่านเป็นอย่างมาก.

อาจารย์นายแพทย์ ศักดา อาจองค์
กุมารเวชศาสตร์ฉุกเฉิน ภาควิชาเวชศาสตร์ฉุกเฉิน
คณะแพทยศาสตร์โรงพยาบาลรามาธิบดี มหาวิทยาลัยมหิดล