วันจันทร์ที่ 25 มีนาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากการใช้เม้าส์

อันตรายจากการใช้เม้าส์

เหตุที่การใช้เมาส์เป็นอันตราย
มี 2 เหตุผลด้วยกันที่ทำให้เมาส์เกิดอันตราย เหตุผลแรก การใช้เมาส์เป็นการเคลื่อนไหว มือ นิ้ว และนิ้วโป้ง โดยการ เลื่อน หมุน คลิกเมาส์ ซ้ำๆ กล้ามเนื้อมัดเล็กที่ใช้จึงเกิดอาการล้าจากการทำงานหนักเกินไป จึงเป็นเหตุให้
- ปวดหลังมือ
- ปวดรอบๆข้อมือ
- ปวดตลอดปลายแขนและข้อศอก
ช่วงแรกจะเป็นปุ่ม ทำให้เกิดอาการเจ็บ และเกิดเป็นเนื้อด้านๆรอบๆข้อต่อและเอ็น เกิดอาการชาที่นิ้วโป้งและนิ้วชี้ ซึ่งอาจพัฒนาไปเป็นโรค Carpal Tunnel Syndrome (CTS)
เหตุผลที่สองที่ทำ ให้การใช้เมาส์เกิดอันตราย คือ การวางเมาส์ที่ทำให้ลำบากในการใช้ สถานที่ทำงานส่วนใหญ่จะมีพื้นที่วางคอมพิวเตอร์ที่จำกัด เมื่อต้องวางคีย์บอร์ดด้านหน้าผู้ใช้ ซึ่งโดยส่วนใหญ่แล้ว เม้ส์จะถูกวางมุมด้านขวาของคีบอร์ด และไปทางด้านหลังโต๊ะทำงาน
เมื่อ เมาส์อยู่ในตำแหน่งนี้ ซึ่งอยู่นอกระยะที่จะเอื้อมมือ และไกลเกินกว่าระยะที่ปลอดภัย และสะดวกต่อการเคลื่อนไหวของมือ เมื่อต้องใช้เมาส์จะต้องเอื้อมแขนไปด้านหน้า และจับเมาส์ไว้นานเท่าที่ต้องทำงาน
การเคลื่อนที่แบบนี้และการเอื้อมมือลักษณะนี้ ครั้งแล้วครั้งเล่าตลอดวันทำงาน สามารถ ทำให้เกิดอาการเจ็บปวด และอ่อนล้า โดยการที่กล้ามเนื้อหลังตอนบนและไหล่ต้องรับน้ำหนัก การใช้เมาส์ซ้ำๆทำให้เกิดการเจ็บไหล่และคอ อาการปวดหลังด้านล่าง ไม่ได้เป็นผลจากการใช้เมาส์โดยตรง แต่สามารถเกิดจากท่านั่งที่ผิดแบบและการนั่งเอนไปด้านหน้า
ข้อควรปฏิบัติเพื่อลดความเสี่ยงในการบาดเจ็บจากการใช้เมาส์
การออกแบบที่ตั้งคอมพิวเตอร์ให้ผู้ใช้ได้ใช้คีย์บอร์ดและเมาส์ (หรืออุปกรณ์ป้อนข้อมูลอื่นๆ)ในเวลาเดียวกัน เป็น สิ่งที่ทำได้ยาก การจะทำให้อาการเจ็บปวดและโรคกระดูกผิดรูปหมดไปนั้นเป็นไปไม่ได้ แต่การเลือกเมาส์อย่างถูกต้อง การจัดท่าทางอย่างเหมาะสม และระมัดระวังการใช้กล้ามเนื้อและร่างกายสามารถช่วยได้
วิธีการเลือกเมาส์
มี เมาส์หลายแบบออกมาให้เลือกใช้มากมาย นักวิจัยยังไม่สามารถค้นพบได้ว่าแบบไหนสามารถป้องกันการบาดเจ็บ แต่ผู้ใช้ควรลองใช้หลายๆแบบ และดูว่าแบบไหมเหมาะสมกับความต้องการ เรามีเคล็ดลับในการช่วยเลือกดังนี้
• แนะนำให้ใช้เมาส์ไร้สายที่ใช้แบตเตอรี่เพราะไม่มีสายมาเกะกะ
รูปทรง
• เลือกเมาส์ให้พอดีกับมือ หลายคนพบว่ารูปทรงหยดน้ำใช้สบาย
• เลือกเมาส์ที่มีรูปทรงเหมือนกันทั้งสองข้าง
• หลีกเลี่ยงการใช้เมาส์รูปโค้ง
ขนาด
• เลือกเมาส์ที่ใหญ่พอที่จะหนุนส่วนโค้งของมือ เมาส์ ที่ใหญ่กว่าฝ่ามือทำให้คุณต้องใช้กล้ามเนื้อแขนที่ใหญ่กว่า มากกว่าที่จะใช้กล้ามเนื้อข้อมือที่เล็กกว่า ซึ่งจะทำให้เกิดอาการอ่อนล้าและเกิดโรคกระดูกผิดรูป
ปุ่ม
• เลือกเมาส์ที่ใช้น้ำหนักเบาๆในการกด เพื่อที่คุณจะได้ไม่ต้องกดแรงเกินไปเมื่อทำงาน
• เลือกเมาส์ที่ปุ่มไม่ทำให้นิ้วชิดหรือห่างกันเกินไป
• เลือกเมาส์ที่มีปุ่มลาก
วิธีปฏิบัติเพื่อลดโอกาสในการบาดเจ็บขณะใช้เมาส์
ที่ ทำงานที่ถูกออกแบบอย่างดีและการเลือกเมาส์ที่เหมาะสมช่วยป้องกันอาการบาด เจ็บและความรู้สึกไม่สบายในการทำงานได้ โดยทำตามคำแนะนำด้านล่างที่จะบอกถึงวิธีใช้เมาส์ที่ปลอดภัยที่สุด เพื่อป้องกันปัญหาดังกล่าว
• ไม่บีบเมาส์ จับเมาส์หลวมๆ การจับเมาส์แน่นไม่ช่วยให้ใช้เมาส์ได้ดีขึ้นหรือเร็วขึ้น
• ให้ข้อมืออยู่ในลักษณะตรง ปลายแขน ข้อมือ และนิ้วควรเป็นเส้นตรง
• ป้องกันข้อมือ ไม่ใช้ที่พักข้อมือ การใช้ที่พักข้อมือจะทำให้เกิดการกดที่กระดูกข้อมือ ทำให้เกิดอาการเจ็บ จากโรค Carpal Tunnel Syndrome และเป็นการทำให้การไหลเวียนของเลือดไม่สะดวก
• ทำความสะอาดเมาส์ให้สะอาดอยู่เสมอ ถ้าเมาส์กระดกหรือฝืดจะเกิดจากฝุ่นที่เกาะอยู่ที่ลูกกลิ้ง
• ถ้าเป็นไปได้ให้สลับมือที่ใช้เมาส์ ใช้ปุ่มทางลัด และปุ่มฟังค์ชั่นที่คีย์บอร์ดแทนการใช้เมาส์

ที่มา :
แหล่งรวมข้อมูลวิชาการ หลักสูตรฝึกอบรมด้านความปลอดภัย อาชีวะอนามัย
และสิ่งแวดล้อมการทำงาน
www.shethai.com

วันจันทร์ที่ 18 มีนาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากการใช้ยา


อันตรายจากการใช้ยา
1. การดื้อยาและการต้านยา (Drug Resistance and Drug Tolerance)
การดื้อยา เป็นภาวะที่เชื้อโรคต่างๆที่เคยถูกทำลายด้วยยาชนิดหนึ่งๆ สามารถปรับตัวจนกระทั่งยานั้นไม่สามารถทำลาย ได้อีกต่อไป เชื้อโรคที่ดื้อยาแล้วจะสามารถถ่ายทอดคุณสมบัตินี้ไปยังเชื้อโรครุ่นต่อไป ทำให้การใช้ยาชนิดเดิมไม่สามารถ ใช้ทำลายหรือรักษาโรคได้ ดังนั้นจึงควรใช้ยาให้ครบตามขนาดของยาที่แพทย์กำหนดและไม่ควรซื้อยามาใช้เอง ตัวอย่าง
ยาที่มักเกิดการดื้อยาได้แก่ ยาต่อต้านเชื้อ (Antibacterals) เช่น ยาซัลฟา เพนนิซิลิน เตตราไซคลิน สเตร็บโตไมซิน เป็นต้น
การต้านยา มีความหมายคล้ายการดื้อยา แต่การต้านยามีผลมาจากร่างกายของผู้ใช้ยา ไม่ใช่เป็นการปรับตัวของเชื้อโรค
ร่างกายจะสร้างเอ็นไซม์หรือใช้ระบบภูมิคุ้มกันขึ้นมาทำลายยา ทำให้การรักษาไม่ได้ผล ต้องใช้ยาในปริมาณที่เพิ่มขึ้น ซึ่ง
ก่อให้เกิดอาการติดยา เช่น บาร์บิทูเรท มอร์ฟีน เป็นต้น
2. การใช้ยาในทางที่ผิดและการติดยา (Drug Abuse and Drug Dependence)
การใช้ยาในทางที่ผิด หมายถึง การนำยามาใช้ด้วยตนเอง และนำยามาใช้โดยมิใช่เป็นการรักษาโรค เป็นการใช้ยาไม่
ถูกต้อง และไม่ยอมรับในทางยา
การติดยา มักเป็นผลจากการนำยามาใช้ในทางที่ผิด เช่น แอมเฟตามีน เพื่อกระตุ้นสมองทำให้รู้สึกแจ่มใส ไม่ง่วง
หรือเพื่อลดความอ้วน เมื่อใช้ติดต่อกันนานๆจะมีผลต่อร่างกายและจิตใจ ให้มีความต้องการยาอยู่เสมอ และปริมาณ
เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ถ้าขาดยาอาจทำให้ถึงตายได้ เช่นเมื่อติดยาแอเฟตามีน จะทำให้เกิดอาการปวดท้อง อาเจียน และเสียชีวิต
เพราะอาการผิดปกติของหัวใจและหลอดเลือด
3. การแพ้ยา (Drug Allergy or Hypersensitivity) เป็นปฏิกิริยาที่เกิดขึ้นเมื่อร่างกายได้รับยาชนิดใดชนิดหนึ่งแล้ว ร่างกาย
จะสร้างภูมิคุ้มกันเพื่อต่อต้านยาชนิดนั้น เมื่อร่างกายได้รับยาชนิดเดิมอีก ตัวยาจะไปทำปฏิกิริยากับภูมิคุ้มกัน ทำให้เกิด
การแพ้ยา โดยจะมีอาการดังต่อไปนี้ มีไข้ ช็อก หอบ หืด คัดจมูก ไอจาม ลมพิษ โลหิตจาง หรืออาจเสียชีวิตได้
จึงไม่ควรซื้อยามารับประทานเอง ควรปรึกษาแพทย์
4. ผลค้างเคียง (Side Effect) เป็นอาการปกติทางเภสัชวิทยาที่เกิดควบคู่กับผลทางรักษาทางยา ซึ่งเกิดขึ้นได้กับทุกคน และ
มีความรุนแรงต่างกัน เช่น การใช้แอนทีฮีสตามีน มีผลในการลดน้ำมูก ลดอาการแพ้ แต่อาจมีผลค้างเคียงคือ ทำให้
ง่วงนอน ซึมเซา ควรหลีกเลี่ยงการทำงานกับเครื่องจักร และการขับรถ เพราะอาจเกิดอุบัติเหตุ ได้ง่าย
5. พิษของยา (Toxic Effect) เกี่ยวข้องกับฤทธิ์ทางเภสัชวิทยาในระดับที่รุนแรงจนถึงขั้นเป็นพิษเป็นผลของยาที่ใช้ ถ้ายังเพิ่ม
ขนาดใช้ยา อาการพิษก็ยิ่งเพิ่มขึ้นจนอวัยวะนั้น ๆ พิการหรือเสื่อมสภาพไป หรือการใช้ยาในระยะเวลานานติดต่อกัน แม้
จะใช้ในขนาดปกติ ก็เกิดเป็นพิษได้ เนื่องจากพิษของยาเอง เช่น คลอแรมเฟนิคอล สเตียรอยด์ แอสไพริน ถ้าใช้นาน ๆ
หรือขนาดสูง ๆ โรคโลหิตจางและโรคติดเชื้อได้ง่าย ๆ พิษของยาอื่น ๆ อาจมีผลต่อระบบประสาท ระบบหัวใจ ระบบไหล
เวียนของโลหิต นอกจากนี้ยาบางชนิดซึ่งมารดาใช้ขณะตั้งครรภ์ จะมีผลต่อเด็กในครรภ์ขั้นรุนแรงได้
การเสื่อมและหมดอายุของยา
ยาทุกอย่างมีการเสื่อมอายุได้ทั้งสิ้น ซึ่งอาจจะเปลี่ยนไปเป็นสารที่มีอันตรายโดยตรง หรืออาจไม่มีอันตรายโดยตรง แต่ทำให้ความรุนแรงของยาลดลง ซึ่งอาจทำให้รักษาโรค หรืออาการไม่ได้ผลเต็มที่ และเชื้อโรคดื้อยา จึงควรสังเกตการเสื่อมของยา เช่น
1. สังเกตกำหนดวันหมดอายุที่ภาชนะบรรจุยา โดยใช้คำว่า Exp. หรือ Exp.Date หรือ Used Before หรือ Potency Guaeanteed to. แล้วตามด้วยวัน เดือน ปี
2. ยาที่ไม่ได้บอกวันหมดอายุที่ภาชนะบรรจุของยา อาจบอกวันผลิต โดยใช้คำว่า Mfd.Date หรือ Manfd.Date หรือ Manu.Date แล้วตามด้วยวัน เดือน ปี และอาจบอกระยะเวลาของคุณภาพยาไว้ หากไม่กำหนดไว้ไม่ควรใช้ยาที่เก็บไว้นานเกิน 5 ปี
3. สังเกตการเปลี่ยนแปลงของยา เช่น ลักษณะสี กลิ่น รส เป็นต้น
นอกจากนี้ในการซื้อยาด้วยตนเอง เราอาจได้รับยาปลอม หรือยาผิดมาตรฐาน ซึ่งอาจก่อให้เกิดอันตรายต่อสุขภาพได้เช่นกัน
อันตรายที่เกิดจากการใช้ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ
ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ เป็นยาที่กฎหมายกำหนดไว้ว่าห้ามผลิต ห้ามนำเข้า และห้ามขาย หากผู้ใดฝ่าฝืนก็จะต้องได้รับโทษตามกฎหมาย ทั้งนี้เนื่องจากการใช้ยาที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐานนั้น จะทำให้เกิดอันตรายแก่ผู้ใช้ยาที่ไม่ได้คุณภาพมาตรฐาน พอจะสรุปสั้น ๆ ได้ดังนี้
1. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยาน้อยกว่าที่ควร หรือไม่มีตัวยาเลย ก็จะทำให้ปริมาณยาที่ได้รับนั้นน้อยจนไม่มีผลในการรักษา จะทำให้โรคไม่หายเกิดลุกลามมากขึ้น ถ้าเป็นโรคร้ายแรงอาจถึงตายได้ และถ้าเป็นยาปฏิชีวนะก็จะทำให้เชื้อโรคดื้อยา การรักษาจะยุ่งยากมากขึ้น
2. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยามากเกินไป ก็จะทำให้เสี่ยงต่อพิษภัยของยามากขึ้น
3. ถ้าผู้ป่วยได้รับยาที่มีตัวยาเป็นยาอื่น ก็จะทำให้การรักษาไม่ได้ผล เช่นเดียวกับได้รับยาที่ตัวยาน้อยและยังอาจได้รับพิษจากยาที่ปนปลอมมาอีก ด้วย
4. ยาที่หมดอายุ นอกจากจะไม่มีฤทธิ์ในการรักษาแล้ว ยาที่หมดอายุแล้วบางตัวยังเป็นพิษต่อร่างกายด้วย เช่น เตตราซัยคลิน ที่หมดอายุจะเป็นพิษต่อไต
5. ยาที่เปลี่ยนแปลงสภาพไปไม่ควรใช้ เช่น แอสไพรินที่เก็บไว้นาน ๆ จะมีผลึกของกรดซาลิซิลิค ซึ่งมีความเป็นกรดสูง ระคายเคืองกระเพาะมาก และไม่ให้ผลในการบรรเทาปวดลดไข้
ข้อแนะนำในการหลีกเลี่ยงการใช้ยาปลอม ยาผิดมาตรฐาน และยาเสื่อมคุณภาพ ก็คือซื้อยากับเภสัชกรโดยตรง ไม่ซื้อยาที่บรรจุในภาชนะที่ไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษัทก็ซื้อยากับเภสัชกรโดยตรง ไม่ซื้อยาที่บรรจุไม่มีฉลากแสดงชื่อยา บริษัทผู้ผลิต หมายเลขทะเบียนยา ไม่ซื้อยาชุด ยาที่มีลักษณะไม่น่าไว้วางใจ และยาที่มีผู้นำมาเร่ขาย



โดย : นาย สมเกียรติ พิกุลแก้ว, รร.สตรีสมุทรปราการ489 ถ.สุขุมวิท ปากน้ำ อ.เมืองสมุทรปราการ จ.สมุทรปราการ 10270, วันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2545

วันจันทร์ที่ 11 มีนาคม พ.ศ. 2556

อันตรายจากไมโครเวฟ

คลื่นไมโครเวฟ(Microwave) ที่ใช้ปรุงอาหารคือคลื่น แม่เหล็กไฟฟ้า เหมือนคลื่นวิทยุ คลื่นทีวี คลื่นแสงอินฟราเรด(infrared) คลื่นแสงธรรมดา แสงอัลตราไวโอเลต (Ultra Violet) คลื่นรังสีเอกซ์และคลื่นรังสีแกมม่า
   
       มีความยาวคลื่นสั้นกว่าคลื่นวิทยุ คลื่นทีวี แต่ยาวกว่า คลื่นแสงอินฟราเรดและอื่นๆ ที่กล่าวแล้ว คลื่น ไมโครเวฟ ที่ใช้ปรุงอาหารจะมีความถี่คลื่น 2,450 ล้านรอบต่อวินาที (หรือ 2,150 Megahertz) เมื่อคลื่นพุ่งไปกระทบอาหาร จะถ่ายทอดพลังงานของมัน ให้โมเลกุลของน้ำทั้งในและนอกอาหารเกิดการสั่นสะเทือนเสียดสีกันเป็นความ ร้อน จึงทำให้อาหารสุกอย่างรวดเร็ว
   
       เมื่อคลื่นไมโครเวฟมอบพลังงานให้โมเลกุลของน้ำหมดแล้ว มันก็จะสลายตัวไป ไม่สะสมอยู่ในอาหารอีก เหลือไว้แต่สภาพอาหารที่เปลี่ยนจากอาหารเดิมเป็นอาหาร สุกเท่านั้น คลื่นไมโครเวฟจึงไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์
   
       • ทางการแพทย์มีการนำคลื่นชนิดนี้
       มาใช้ในการรักษาบ้างหรือไม่

   
       ทางการแพทย์นำคลื่นไมโครเวฟมาใช้ในการรักษาบ้างเหมือนกัน แต่เป็นคลื่นไมโครเวฟที่มีความถี่คลื่นน้อยกว่าไมโครเวฟที่ใช้ปรุงอาหาร เพราะต้องการเพียงความร้อนขนาดอุ่นๆ สบายๆ หรือความร้อนสูงขึ้นอีกเล็กน้อยขนาดพอทนได้ ไม่ใช่ร้อนมากขนาดจะทำให้เนื้อสุกไหม้ เช่น
   
       ทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูใช้ไมโครเวฟความถี่ต่ำ เพื่อใช้คลายการปวดกล้ามเนื้อ ปวดตามข้อ มีความร้อนขนาดอุ่นๆ กำลังสบายๆ
       
       ทางด้านรังสีรักษาและทางระบบทางเดินปัสสาวะ ใช้ไมโครเวฟความถี่สูงขึ้นกว่าทางเวชศาสตร์ฟื้นฟูประมาณ 915 MZ ให้ความร้อนสูงขึ้น แต่ไม่ถึงจุดเดือด ใช้รักษาทำลายเซลล์มะเร็งเฉพาะที่ตื้นๆ ร่วมกับการรักษาด้วยรังสีและยารักษามะเร็ง เครื่องเดียวกันนี้ยังสามารถใช้รักษาโรคต่อมลูกหมากโตในชายผู้สูงอายุบางราย ได้ด้วย
   
       • คลื่นที่ใช้ในไมโครเวฟ
       มีอันตรายต่อสุขภาพด้านใดหรือไม่

   
       คลื่นไมโครเวฟ ที่ใช้ในการปรุงอาหารไม่มีอันตราย ต่อสุขภาพ เพราะคลื่นจะสลายตัวไปไม่สะสมในอาหาร เมื่อรับประทานอาหารที่ทำให้สุกด้วยไมโครเวฟ จึงไม่เกิดอันตรายใดๆทั้งสิ้น
   
       • การจ้องมองแสงขณะที่เครื่องกำลังทำงาน มีอันตรายต่อดวงตา จริงหรือไม่
   
       ไม่จริง เพราะคลื่นไมโครเวฟไม่สามารถจะทะลุทะลวงผ่านผนังตู้และฝาตู้ออกมาได้ เพราะมีแรงทะลุทะลวงต่ำกว่าอินฟราเรด แสงธรรมดา และอัลตราไวโอเลต และรังสีเอกซ์หรือรังสีแกมม่า และแสงที่เรามองเห็นในตู้ไม่ใช่แสงของคลื่นไมโครเวฟ แต่เป็นแสงของดวงไฟฟ้าที่เขาติดตั้งไว้ให้เห็นสิ่งที่อยู่ภายในตู้ขณะ เครื่องทำงานเท่านั้นเอง
   
       • อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยไมโครเวฟ
       จะมีรังสีตกค้างหรือปะปนมาในอาหารหรือไม่

   
       อาหารที่ผ่านการปรุงด้วยไมโครเวฟ จะไม่มีรังสีตกค้าง หรือปะปนมาในอาหาร เพราะรังสีเป็นคลื่นพุ่งผ่าน แล้วมอบพลังงานของมันให้กับสิ่งที่มันพุ่งผ่านไป เมื่อพลังงานของมันหมด มันก็สลายตัวไป คงเหลือแต่สิ่งที่เกิดขึ้นหลังมันวิ่งผ่านไป คือเกิดความร้อนทำให้อาหารสุกนั่นเอง
   
       • ในการใช้เครื่องไมโครเวฟ
       มีข้อควรระมัดระวังอะไรบ้าง

   
       1. เลือกซื้อเครื่องจากบริษัทที่เชื่อถือได้ มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพการผลิต ฝาตู้ต้องปิดได้แน่นสนิท ไม่มีรอยรั่ว
   
       2. ก่อนใช้ต้องอ่านคู่มือการใช้ให้ละเอียด ทำให้ถูกต้องตามขั้นตอน
   
       3. ไม่ควรวางของหนักหรือเหนี่ยวโหนประตูตู้ ในขณะที่ประตูเปิดอยู่ เพราะจะทำให้ฝาตู้ปิดไม่สนิท มีคลื่นไมโครเวฟรั่วออกมาได้ระหว่างใช้
   
       4. เมื่อตู้ชำรุด ไม่ควรแก้ไขเอง ควรติดต่อช่างที่ชำนาญมาแก้ไข
   
       5. ไม่ควรใช้ดวงตาแนบกับฝาตู้ขณะเครื่องทำงาน เพื่อความไม่ประมาท
   
       6. การจะวัดว่ามีคลื่นไมโครเวฟรั่วไหลออกมาจากเครื่อง ทำได้โดยใช้เครื่อง Survey Meter ให้ติดต่อกับเจ้าหน้าที่กองรังสี กรมวิทยาศาสตร์การแพทย์ กระทรวงสาธารณสุข หรือบริษัทใหญ่ๆ ที่ขายเครื่องไมโครเวฟ จะมีบริการการวัดคลื่นไมโครเวฟที่รั่วออกมานอกตู้ให้ได้
   
       • อายุการใช้งานของเครื่องและการดูแล
       มีส่วนสำคัญในเรื่องของความปลอดภัยอย่างไร

   
       อายุการใช้งานของเครื่อง หากใช้ทะนุถนอม ไม่ทำรุนแรง ก็จะใช้เครื่องได้นานมาก บอกไม่ได้แน่นอน ขึ้นอยู่กับผู้ใช้ และวัสดุโครงสร้างของเครื่อง
   
       การดูแลมีส่วนสำคัญมากในเรื่องของความปลอดภัย เมื่อใช้ตู้ไปแล้วต้องเช็ดทำความสะอาดตู้สม่ำเสมอ อย่าปล่อยให้เศษอาหารกระเด็นค้างอยู่ในตู้เป็นระยะเวลานานๆ เพราะความเค็มของอาหารจะทำให้เหล็กตู้เป็นสนิมและเกิดเป็นรอยทะลุ ทำให้คลื่นไมโครเวฟรั่วออกมา เกิดอันตรายกับผู้ใช้ได้ ห้ามใช้ของมีคมขูดหรือขัดตู้
   
       ตู้ไมโครเวฟถ้ารู้จักใช้ให้ถูกวิธีจะมีประโยชน์มาก เพราะสะดวก รวดเร็ว ประหยัด เหมาะสำหรับชีวิตปัจจุบัน ซึ่งต้องเร่งรีบไปหมดทุกอย่าง
   
       อย่าลืมซื้อเครื่องที่มีมาตรฐาน มีการรับรองคุณภาพ อ่านคู่มือก่อนใช้ และเลือกภาชนะที่ใช้ให้เหมาะสม หากเครื่องดีไม่มีรอยรั่ว อันตรายจากไมโครเวฟจะไม่เกิดขึ้นเลย100%
   
       ข้อแนะนำในการใช้ไมโครเวฟที่ถูกต้องและปลอดภัย
   
       1. เลือกภาชนะที่ใช้กับตู้ไมโครเวฟให้เหมาะสม เช่น ชามแก้วทนไฟ ชามกระเบื้อง พลาสติกทนความร้อน ภาชนะไม้ จานกระดาษ
   
       2. ห้ามใช้ภาชนะโลหะทุกชนิดกับตู้ไมโครเวฟ หรือภาชนะกระเบื้องที่มีขอบเงินขอบทองเป็นส่วนผสมของโลหะ เพราะคลื่นไม่สามารถจะพุ่งผ่านไปได้ เมื่อชนโลหะแล้วคลื่นจะสะท้อนกลับ เกิดการสปาร์ค (spark) เป็นดวงไฟเล็กๆ เกิดเสียงดัง และอาจจะทำให้เกิดไฟลุกไหม้ในตู้ได้ หากในตู้นั้นไม่สะอาดมีน้ำมันกระเด็นไปรอบตู้ เป็นต้น
   
       3. เวลาปรุงอาหารที่เป็นน้ำหรือน้ำมัน เมื่อเดือดมีโอกาสกระเด็นไปไกลไปติดรอบตู้ สกปรกเป็นมันเลอะเทอะ ทำให้ต้องทำความสะอาดตู้ยุ่งยาก อาจจะใช้ฝาชีพลาสติกทนความร้อน ครอบอาหารเสียก่อนเริ่มเปิดใช้เครื่องไมโครเวฟ ทำให้ประหยัดเวลาในการทำความสะอาดตู้
   
       4. ไม่ควรนำอาหารที่มีผิวมันหรือมีเปลือกแข็ง เข้าไปทำให้สุกในตู้ เพราะความร้อนทำให้อากาศภายในอาหารขยายตัว ประกอบกับไอน้ำที่เกิดขึ้นมีแรงดันสูง จะทำให้เกิดระเบิดเสียงดังได้ ควรใช้ส้อมจิ้มผิวอาหารหรือเปลือกอาหารให้เป็นรูเสียก่อน เพื่อป้องกันการปะทุที่เกิดจากความร้อนภายในอาหารขยายตัว
   
       5. การปรุงอาหารด้วยภาชนะที่มีฝาปิดในตัว ควรเผยอฝาปิดเล็กน้อย เพื่อให้ไอน้ำพุ่งออกได้ หรือพลิกฝาปิดเพียงวางไว้เฉยๆ ไม่ปิดแน่น
   
       (จากหนังสือธรรมลีลา ฉบับที่ 130 กันยายน 2554 โดย รศ.พญ.สุพัตรา แสงรุจิ ภาควิชารังสีวิทยา คณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล)

วันจันทร์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2556

ข้อคิดจากบุหรี่ไฟฟ้า

ผลกระทบจาก บุหรี่ไฟฟ้า ที่ถกเถียงกันมากที่สุด

เมื่อเร็วๆนี้ทางผู้เขียน ก็ได้หาข้อมูลต่างๆนาๆ เกี่ยวกับโทษของ บุหรี่ไฟฟ้า จึงได้ข้อสรุปภาพรวมทั้งหมดว่า กฏหมายในประเทศไทยยังไม่ยอมรับข้อดีของ บุหรี่ไฟฟ้า โดยอ้างพระราชบัญญัติในข้อต่างๆดังนี้
  • พระราชบัญญัติควบคุมผลิตภัณฑ์ยาสูบ พ.ศ. 2535 มาตรา 10 เรื่องห้ามผลิตนำเข้า เพื่อขายหรือเพื่อจ่ายแจกเป็นการทั่วไป หรือโฆษณาสินค้าอื่นใด ที่มีรูปลักษณะที่ทำให้เข้าใจได้ว่าเป็นสิ่งเลียนแบบ ผลิตภัณฑ์ยาสูบ ประเภทบุหรี่ซิการ์แรตหรือบุหรี่ซิการ์ มีโทษปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • พระราชบัญญัติยา พ.ศ. 2510 มาตรา 12 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิต ขาย หรือนำ หรือสั่งเข้ามาในราชอาณาจักร ซึ่งยาแผนปัจจุบัน เว้นได้แต่ได้รับอนุญาต ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 10,000 บาท และมาตรา 72 ห้ามมิให้ผู้ใดผลิตขาย หรือนำเข้า หรือสั่งนำเข้ายาที่มิได้ขึ้นทะเบียนตำรับยามาในราชอาณาจักร ฝ่าฝืนมีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี และปรับไม่เกิน 20,000 บาท
  • พระราชบัญญัติศุลกากร พ.ศ. 2469 มาตรา 27 ผู้ใดนำหรือพาของที่ยังมิได้เสียค่าภาษีหรือของต้องจำกัดหรือของต้อง ห้าม หรือที่ยังมิได้ผ่านศุลกากรโดยถูกต้องเข้ามาในราชอาณาจักรสยาม ความผิดครั้งหนึ่งจะมีโทษปรับเป็นเงิน 4 เท่าของราคาของ ซึ่งได้รวมค่าอากรขาเข้าด้วยแล้ว หรือจำคุกไม่เกิน 10 ปี หรือทั้งปรับทั้งจำ ซึ่งทางกระทรวงสาธารณสุขได้ทำหนังสือถึงกรมศุลกากร เพื่อให้ดำเนินการตรวจ สอบบุหรี่ไฟฟ้า ตามชายแดนทั่วประเทศ
ในข้อที่ 1 ว่าด้วยการห้ามเลียนแบบผลิตภัณฑ์ยาสูบ (อันนี้ไม่น่าเอามาอ้างอิงเลย)
ในข้อที่ 2 ข้อนี้ก็ไม่ให้นำเข้า เพราะไม่ได้ขึ้นทะเบียนตำรับยา (แล้วทำไมไม่ให้ขึ้น ก็ขายแต่ผู้ที่ติดบุหรี่ และต้องการเลิกจริงๆสิ)
ในข้อที่ 3 จะปรับเพราะไม่ได้เสียภาษี (ถ้างั้นก็ทำให้เสียภาษีได้สิ จะได้ไม่ต้องมีการลักลอบนำเข้า)

บุหรี่

และในส่วนของผลกระทบของ บุหรี่ไฟฟ้า ที่ชัดเจนแล้ว ส่วนประกอบสำคัญก็คือ สารนิโคติน ที่ผู้ติดบุหรี่ ต้องการสารนี้เป็นหลัก ส่วนสัดส่วนของปริมาณสารนี้ ก็ได้ถูกแบ่งออกเป็น 4 ระดับ ดังนี้
  • ระดับ High ซึ่งมีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 16mg.
  • ระดับ Medium ซึ่งมีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 11mg.
  • ระดับ Low มีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 6mg.
  • ระดับ ​None มีสารนิโคตินต่อ 1 ขวด 0mg.
ซึ่งผู้สูบ บุหรี่ไฟฟ้า เองก็สามารถเลือกระดับของนิโคตินได้ตามต้องการ ซึ่งวิธีการลดก็ให้สูบไล่จากระดับ High มาก่อน และจากนั้นค่อยๆลดระดับของนิโคตินลง และในส่วนที่ว่ากันว่า บุหรี่ไฟฟ้า มีสารนิโคตินสูงเทียบเท่าเฮโลอีน โดยมีการเขียนสรุปให้ดูน่ากลัวว่า ( หากสูบบุหรี่ไฟฟ้า 1 มวน จะเท่ากับสูบบุหรี่ทั่วไปถึง 15 มวน ) แต่คุณรู้ไหมสำหรับคนที่สูบบุหรี่จริงประมาณวันละ 2 ซอง แต่ถ้ามาสูบบุหรี่ไฟฟ้า เทียบกับ 1 หลอดน้ำยา สามารถสูบได้ทั้งวัน แล้วจะอันตรายกว่าบุหรี่ตรงไหน หากมาเทียบตามสัดส่วนกันจริงๆ บุหรี่ ซึ่งมีสารอันตรายถึง 4000 ชนิด แต่สำหรับ บุหรี่ไฟฟ้า มีสารอันตรายแค่ชนิดเดียว
ต่อไปก็มาดูกระแสของผู้สูบทั้งหลายที่มีต่อความคิดเห็นทั้งหมดนี้ ว่าเขาจะออกความคิดเห็นว่าอย่างไรบ้าง ลองมาดูกันเลยดีกว่า
ความคิดเห็นของคุณ sodanum
ใน Cartridges ซึ่งเป็นที่เก็บนิโคติน ซึ่งเป็นสารเสพติดและสารเคมีที่เป็นอันตราย สามารถรั่วออกมาทางรอยต่อของอุปกรณ์บุหรี่ ทำให้ผู้ที่อยู่ใกล้ชิดได้รับอันตรายจากควันบุหรี่มือสอง”
- อันนี้อ่านแล้ว ฮา จริงๆ
“ในบุหรี่ไฟฟ้าไม่มีการกำจัดสารพิษที่ เหมาะสม เช่น ใน Cartridges ที่บรรจุนิโคตินผสมอยู่กับน้ำ เมื่อใช้แล้วก็ย่อมมีการปนเปื้อนของนิโคติน เมื่อนำไปทิ้งก็จะเป็นพิษต่อสิ่งแวดล้อม”
- นั้น..โทษว่าตูทำลายสิ่งแวดล้อมอีก… ถ้าบอกว่าทิ้งแบตเก่า ยังจะน่าฟังกว่า…
ความคิดเห็นของคุณ Evildruid
กระทรวงสาธารณสุขของไทยได้ประกาศ มาตรการห้ามนำบุหรี่ไฟฟ้าเข้ามาจำหน่ายในประเทศโดยใช้กฎหมาย 3 ฉบับ
** กฎหมายทั้ง 3 ฉบับ เป็นมาตรการทางภาษีล้วน ๆ
งานวิจัยของนักวิจัยจากมหาวิทยาลัยแคลิ ฟอร์เนีย ที่รับทุนจาก Tobacco-Related Disease Research Program (TRDRP) เพียว ทอลบอต ผู้อำนวยการของ UC Riverside’s Stem Cell Center กล่าวว่า นักวิจัยได้ศึกษาบุหรี่ไฟฟ้า 5 ยี่ห้อ ผลการวิจัยระบุว่า ไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าบุหรี่ไฟฟ้ามีความปลอดภัย และยังมีแนวโน้มความเสี่ยงที่จะเกิดอันตรายต่อสุขภาพของผู้บริโภค และงานวิจัยนี้ได้รับการตีพิมพ์ในวารสารควบคุมยาสูบ “Tobacco Control
**บุหรี่เป็นที่ยอมรับและพิสูจน์ได้ว่าเป็นอันตรายต่อสุขภาพ แต่ตราบใดที่รัฐยังต้องการรายได้จากภาษียาสูบเรื่องอื่นเป็นเรื่องรอง
** มูลนิธิรณรงค์เพื่อการไม่สูบบุหรี่ ไปรณรงค์หาทางป้องกันคนที่ยังไม่ติดบุหรี่ไม่ให้เข้ามาในวังวนแบบนี้ดีกว่าไหม
ความคิดเห็นของคุณ RimYom
โอ๊ยยยยยยยยยย~ จะบ้าตาย
หาข้ออ้างข้างๆคูๆ มาว่าเรา
ไอ่คนเขียนก็มั่วได้ใจ สงสัยชอบดูดหญ้ามากกว่า!!!!-
ต้องจับคนเขียนลองสูบไอน้ำซักเดือนเนาะ แล้วมาเขียน
คงกำกวมหน้าดู 5555+
ความคิดเห็นของคุณ น้าปา เซมเบ้
อย่ามาพูดให้ยากกกกส์์…ถ้าแน่จริง..และ จริงใจ..”ปิดโรงงานยาสูบให้ดูก่อน”..แล้วค่อยมาพูดกันอีกทีนะเฟ้ยยยยยย ตรูจาสูบ บุหรี่ไฟฟ้า ซื้อน้ำยา ไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ
ความคิดเห็นของคุณ RimYom
วันนี้ เพื่อนเสียงแข็งใส่ผม บอกว่า “เห้ยยย !! มันอันตรายกว่าบุหรี่จริงอีกน๊ะเว๊ย เราอ่านมาแล้ว” เอ่อ  ผมก็หัวเราะ แล้วก็เงียบไป คิดในใจ “มรึงอ่านบทความในนี้มาช่ายมั้ย 5555+” เห้อออ เหนื่อยยยจิต!!
ความคิดเห็นของคุณ arseroj
จริงหรือไม่จริงอย่างไรผมไม่รู้ แต่ที่รู้ๆคือลูกเมียผมไม่บ่นเรื่องกลิ่น  และผมก็รู้สึกตื่นง่าย ตาไม่แสบไม่ออกแดงๆ ส่วนเรื่องที่ทุกประเทศต่างออกประกาศผลของการสูบบุหรี่ไฟฟ้า  เพราะอะไร ก็รู้ๆกันอยู่  ถ้าจริงใจจริงยกเลิกหรือปิดโรงงานยาสูบไปเลยดีกว่าครับ ปล.ผมเพิ่งจะมาสูบบุหรี่ไฟฟ้าได้ 10 กว่าวันก็จริงแต่ผมก็เหม็นควันบุหรี่จริงซะแล้ว อิอิ
ความคิดเห็นของคุณ rakkeaw
อ่านแล้วมันให้ความรุ้สึก ว่า ผู้เขียนฟังความด้านเดียว หรือ ไม่ได้เปิดใจลองมารับฟัง ประสบการณ์และความคิดเห็นจากผู้ใช้จริงเลย เหมือนว่านั่งเทียนเขียนข่าว มีสื่อในมือแต่เลือกยัดเยียดข้อมูลให้ประชาชนแบบ ด้านเดียว
เอาสถิติ มาอ้างว่า คนติดบุหรี่เลิกยาก โอกาสเลิกน้อย เลิกยาก ( เขาไม่ลองมานับผู้ใช้ไอน้ำบ้างงว่า เลิกได้ไหม ผมคิดว่า เกือบจะ100เปอเซ็น ตอบเสียงเดียวกันว่าได้ และยังทำให้ ร่างกายแข็งแรงกว่า ตอนสูบ ยาสูบจริง ที่ออกวางจำหน่ายกินภาษี ไม่รุ้กี่ร้อยเปอเซ็น ของรัฐบาลซะอีก)
เอาเรื่องกฎหมาย มาอ้างว่าผิด พรบ นำเข้า หรือลอกเลียนยาสูบ นู่นนี่นั่น อ่านตรงนี้แล้วรุ้สึกว่า ผู้เขียนพยายามทำให้บทความนี้มีน้ำหนักให้มากที่สุด โดยการนำอ้างอิงต่างๆมาเสนอ แต่ ทำไมไม่พูดถึงว่า กฎหมายข้อที่ว่ามานั้น มีไว้ทำไม ในเมื่อ บุหรี่จริงมันไม่ดี แต่ท่านยังออกกฎหมายคุ้มครองบุหรี่ และห้ามละเมิด ทำไมท่านไม่โจมตีกฎหมายข้อที่ท่านกล่าวมา และจากบทความของผู้เขียน ยังให้ความรุ้สึกว่า เขาสนับสนุนบุหรี่จริง แล้วจะตั้งเว็บช่วยเลิกบุหรี่เพื่ออะไร
ฝากส่งความเห็นไปยังผู้เกี่ยวข้อง และเจ้าของบทความ รูปหมาป่าในคราบหนังแกะ ควรจะสื่อว่าเป็นใคร ระหว่าง รัฐบาลและเจ้าของบทความ หรือ บุหรี่ไฟฟ้า ถ้าเจ้าของบทความมีเจตนาดี ผมขอน้อมรับ แต่ที่ท่านทำคือ นั่งเทียน ผมเห็นเป็นเช่นนั้น
ถ้าคิดจะเป็นสื่อ อย่างน้อยมีจิตสำนึกในการนำเสนอ หรือหาความจริงให้ได้มากที่สุด ลองลงมาคลุกคลีกับกลุ่มคนที่เห็นด้วยกับไอน้ำ ดูบ้าง ถามเขาสิว่าทำไมเขาถึงหันมาใช้ไอน้ำ ไม่ใช่นั่งหน้าคอมเป็นเจ้าพ่อ เซิจเอ็นจิ้น แล้วนำข่าวมาเสนอ ผมบอกจริงๆ ห่วยแตก
อ้อ อีกอย่างทิ้งท้าย หลังจากหันหลังให้ยาสูบ มาสวามิภักดิ์ให้ ไอน้ำ ผมแข็งแรงขึ้น ไม่มีกลิ่นตัวและที่สำคัญ ส่งการบ้านได้บ่อยขึ้น ไม่คอหัก คอพับ กว่าจะปลุกได้ก็หมดยาไปหลายขวดเหมือนสมัยก่อน
นี้เป็นเพียงความคิดเห็นส่วนหนึ่งของบุหรี่ไฟฟ้า ที่เป็นกระแสมากที่สุด แต่ท้ายที่สุดแล้วผู้ที่เคยลองใช้เกือบ 100% ตอบเป็นเสียงเดียวกันว่า สุภาพดีขึ้น หายใจโล่ง ร่างกายแข็งแรงขึ้น และอื่นๆอีกมากมาย ขอคุณทุกท่านที่เสียสละเวลาอ่าน พบกันอีกบทความหน้า