สารต่างๆ ที่ร่างกายดูดซึมเข้าไป บางชนิดมีผลต่อ พลัง และสมรรถภาพแบบแอนแอโรบิค ดังเช่นงานวิจัยของ ฮอฟแมนส์ (Hoffman, Stavsky & Falk, 1995) ได้ทำการศึกษาถึงผลของการจำกัดน้ำ ที่มีต่อค่า พลังแบบแอนแอโรบิค และความสูงของการกระโดดในแนวดิ่งในนักกีฬาบาสเกตบอล กลุ่มตัวอย่างเป็นนักบาสเกตบอลเพศชาย จำนวน 10 คน เล่น 2 ต่อ 2 แบบเต็มสนาม แบ่งเป็นกลุ่มที่ให้ทานน้ำตลอดเกม กับกลุ่มที่ไม่ให้ทานน้ำ พบว่า ค่า พลังแบบแอนแอโรบิค จะแตกต่างกันประมาณ 19 % นั่นแสดงให้เห็นว่า หากร่างกายขาดน้ำประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานแบบ แอนแอโรบิค อาจลดลง
นอกจากนี้ บอลล์ (Ball, 1995) ได้ทำการศึกษาถึงผลของเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรต และอิเล็คโตรไลต์ ในขณะฝึกโดยความหนักสูง ต่อความสามารถในการเพิ่มความเร็วก่อนเข้าเส้นชัย โดยกลุ่มตัวอย่างเป็นนักจักรยานเพศชาย จำนวน 8 คน ใช้การทดสอบของวินเกต พบว่า เครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรต และอิเล็คโตรไลต์ ทำให้ พลังสูงสุด และ พลังเฉลี่ย (mean power) เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05 แสดงให้เห็นว่า ปริมาณการสูญเสียน้ำ และการเพิ่มคาร์โบไฮเดรต และอิเล็คโตรไลต์ ในเครื่องดื่ม มีผลกับการเปลี่ยนแปลงค่าของ พลัง และสมรรถภาพแบบแอนแอโรบิค
ยิ่งไปกว่านั้นจากการศึกษาของ สวีเนอร์ (Sweenor , 1998) ได้ทำการศึกษาถึงผลของคาเฟอีน ต่อความสามารถในการวิ่งระยะสั้น โดยใช้การทดสอบของ วินเกต ในการเก็บข้อมูล พบว่า ปริมาณคาเฟอีน 7 มิลลิกรัมต่อน้ำหนักตัว 1 กิโลกรัม (เป็นแคปซูล) มีผลทำให้พลังแบบแอนแอโรบิค เพิ่มขึ้น เล็กน้อยทั้งในเพศชายและเพศหญิง โดยที่มีผลทำให้พลังแบบแอนแอโรบิค ในเพศชายเพิ่มสูงขึ้นมากกว่าเพศหญิง และจากการศึกษาของ อินบาร์ (Inbar, Rostein, Jacobs, Kasier, Plin, & Dotan, 1983) ได้ทำการศึกษาถึงผลของการใช้สารด่างต่อการออกกำลังกายในระยะสั้น กลุ่มตัวอย่างเป็นนิสิตพลศึกษาจำนวน 13 คน เพศชาย สารด่างที่ให้คือโซเดียมไบคาร์บอเนต ใช้การทดสอบตามวิธีของวินเกต พบว่า โซเดียมไบคาร์บอเนต มีผลทำให้พลังเฉลี่ยเพิ่มขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ รวมไปถึงอาจมีผลกับการเพิ่ม สมรรถภาพแบบแอนแอโรบิค
นั่นแสดงให้เห็นว่า การดื่มเครื่องดื่มที่มีคาร์โบไฮเดรต และอิเล็คโตรไลท์ สารที่มีคาเฟอีน และโซเดียมไบคาร์บอเนตผสมอยู่ มีผลต่อการเพิ่มประสิทธิภาพในการสร้างพลังงานแบบแอนแอโรบิค
นอกจากนี้ สเตร์ตั้น (Strayton, 1997)ได้ทำการวิจัยถึงผลของครีเอทีน ที่มีต่อค่าสมรรถภาพแบบแอนแอโรบิค ความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ และองค์ประกอบของร่างกาย โดยกลุ่มทดลองเพศชาย จำนวน 18 คน ให้ครีเอตาโบลีน (creatabolin) 7.5 กรัม/วัน พบว่า ครีเอทีน มีผลในการเพิ่มน้ำหนักตัว แต่ไม่มีผลในเรื่องของความแข็งแรง และสมรรถภาพแบบแอนแอโรบิค อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติที่ระดับ .05
วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 3 ตุลาคม พ.ศ. 2554
โรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวาน
โรคหัวใจในผู้ป่วยเบาหวาน“ คนที่เป็นเบาหวานสามารถเป็นโรคหัวใจได้เร็วกว่าคนทั่วไปที่ไม่เป็นเบาหาน และผู้ป่วยเบาหวานส่วนมากมักไม่รู้ตัวว่าตนมีโรคหัวใจแฝงอยู่ ”สถานการณ์โรคหัวใจในประเทศไทย ส่วนใหญ่มีสาเหตุมากโรคเบาหวาน ซึ่ง 50 % ของคนที่เป็นโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ มีอาการป่วยเป็นเบาหวานร่วมด้วย และมีแนวโน้มพบสูงขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งในอดีตพบเพียงหลอดเลือดผิดกติเท่านั้นศ.นพ. เกียรติชัย ภูริปัญโญ ผู้อำนวยการศูนย์โรคหัวใจโรงพยาบาลเวชธานี ได้อธิบายและให้ความรู้เกี่ยวกับความสัมพันธ์ระหว่างโรคหัวใจกับโรคหัวใจให้เข้ากันมากขึ้นมา สำหรับโรคหัวใจและหลอดเลือดมีผลต่อประชาชนชาวไทยในช่วงครึ่งหลังของชีวิต เรียกได้ว่าเป็นช่วงที่กำลังสร้างสถานภาพทางสังคมและเศรษฐกิจ ไม่เพียงแต่มีผลในระดับบุคคล แต่ยังส่งผลกระทบต่อระดับครอบครัว แต่ยังส่งผลกระทบต่อครอบครัวไปจนถึงระดับชาติ ในประเทศที่พัฒนาแล้ว กลุ่มที่มีเศรษฐกิจและสังคมต่ำจะมีความชุกของปัจจัยเสี่ยงสูง เป็นโรคหัวใจและเสียชีวิตด้วนโรคหัวใจและหลอดเลือดสูง ซึ่งส่วนใหญ่มักเกิดขึ้นในประเทศที่กำลังพัฒนา
โรคหัวใจส่วนใหญ่เกิดจากอะไรก่อนอื่นต้องแบ่งว่าเป็นโรคหัวใจชนิดไหน ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบซึ่งมีสาเหตุจากความดันโลหิตสูง พบว่ากลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากเพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และในเพศหญิงคือ หลังหมดประจำเดือนไปแล้ว คนที่เป็นโรคอ้วนหรือโรคอ้วนลงพุง คือมีรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก ตลอดจนการบริโภคอาหารและออกกำลังกาย แต่สำหรับในโรคเบาหวานถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญในประเทศไทย ส่วนวิธีป้องกันนั้นต้องแยกสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เพราะบางปัจจัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ส่วนใหญ่ คือการปรับพฤติกรรมตัวเองโดยเริ่มปรับเปลี่ยนตั้งแต่เด็ก คือไม่ให้อ้วนมาก รับประทานขนมหวานให้น้อยลง เปลี่ยนมารับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญคือการได้รับการตรวจเลือดและร่างกายตามระยะเวลาที่กำหนด
ความสัมพันธ์ของโรคหัวใจกับเบาหวานสำหรับคนที่เป็นเบาหวานนั้น มักจะเป็นโรคหัวใจในภายหลัง และสามารถเป็นโรคหัวใจได้เร็วกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน เนื่องจากโรคเบาหวานจะทำให้หลอดเลือดเสื่อมลง แต่ต้องดูว่ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ( คนที่เป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีระดับ LDL Cholesterol สูงกว่าคนปกติ ) ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด อ้วน คนที่มีบุคลิกย้ำคิดย้ำทำ เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ยังพบสาเหตุใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก เช่น การติดเชื้อบางชนิดจากการที่มีฟันผุ เหงือกอักเสบ และพบว่าสาเหตุนี้นำไปสู่หลอดเลือดหัวใจเสื่อมมากขึ้น
คนที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหนเพียงแค่ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติทั่วไปก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานยิ่งมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจสูงมาก ในกรณีของคนที่เป็นเบาหวานเป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีอาการทางด้านปลายประสาทอักเสบ ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงเมื่อโรคหัวใจกำเริบ คืออาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก สาเหตุนี้ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีโรคแทรกซ้อนอยู่
ผู้ป่วยเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจมากน้อยแค่ไหนสำหรับคนที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้วเกิดโรคแทรกซ้อน คือ หัวใจนั้นอยู่ที่ 50 % โดยเฉพาะคนป่วยเป็นเบาหวานมาระยะเวลานาน ยิ่งต้องระวังเพราะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมปัจจัยหลายๆอย่างด้วย ผู้ที่เป็นเบาหวานหากสงสัยว่าตนเป็นโรคหัวใจแฝงอยู่ควรทำอย่างไร สิ่งแรกควรมาพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจร่างกายในขั้นต้นแล้วจึงทำการตรวจกราฟหัวใจ จากนั้นจะทำการประเมินว่ามีอาการอย่างไรบ้าง เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ป่วยเบาหวานมักจะไม่แสดงอาการของโรคหัวใจ ดังนั้นจึงแนะนำว่าคนที่มีปัจจัยเสี่ยง คือทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่มีช่วงอายุเกิน 40 ปีในผู้ชาย และหลังหมดประเดือนในผู้หญิงก็ควรได้รับการตรวจเช่นกัน โดยตรวจด้วยวิธีเดินสายพานเพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุของโรคหัวใจอย่างชัดเจน และขั้นตอนต่อไปคือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ แต่หากผลการตรวจเดินสายพานบ่งบอกชัดเจนว่ามีเส้นเลือกหัวใจตีบ ก็สามารถข้ามขั้นตอนการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไปสู่การฉีดสีดูเส้นเลือดหัวใจโดยตรง โดยการเจาะเข้าเส้นเลือดแดงที่ข้อมือหรือขา เพื่อสอดสายสวนขึ้นไปสู่เส้นเลือดหัวใจแล้วจึงฉีดสี วิธีนี้จะทำให้ทราบผลอย่างแน่นอน
การรักษาโรคผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นเบาหวานกับไม่เป็นแตกต่างกันอย่างไรการรักษาแตกต่างกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานเพียงแค่มีอาการแน่นหน้าอกและเหนื่อยง่าย ให้วิเคราะห์ได้เลยว่ามีโอกาสเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบสูง ต่างจากคนทั่วไปในวัย 40 ปี ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย หรือวัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง ซึ่งบางที่อาจจะไม่มีอาการของเบาหวานเพียงเข้ารับการตรวจเล็กน้อย สำหรับการรักษานั้น ผู้ป่วยเบาหวานจะรักษายากกว่า เนื่องจากการรักษาโรคหัวใจต้องควบคุมเบาหวาน ควบคุมไขมันและควบคมความดัน โดยในการควบคุมไขมันและความดันนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะตัวยาที่ใช้ให้การผลดีกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทั้งสองอย่าง ตรงกันข้ามกับเบาหวานที่ควบคุมยาก เพราะนอกจากจะรักษาด้วยยาแล้ว ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานด้วยจึงจะได้ผล และกรณีที่คนป่วยเป็นเบาหวานเกิดหลอดเลือดตีบรักษาด้วยการทำบอลลูน โดยการใส่ขดลวดเขาไปแล้ว พบว่าการที่หลอดเลือดจะกลับมาตีบซ้ำ มีความเป็นไปได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปถึง 10% ถ้าผู้ป่วยเป็นเบาหวานควบคุมเบาหวานไม่ดีเห็นชัดเจนเลยว่าการรักษาค่อนข้างจะยากกว่า และอีกหนึ่งกรณีคือลักษณะเส้นเลือดของคนที่เป็นโรคหัวใจที่ป่วยเป็นเบาหวาน จะมีลักษณะขรุขระมากกว่าคนปกติทั่วไป ทำให้การรักษาด้วยการทำบอลลูนต้องในขดลวดหลายอันและในบางจุดก็ไม่สามารถใส่ได้ จึงถือเป็นการยากมากสำหรับการรักษาโรคัวใจในผู้ป่วยเบาหวานผู้ป่วยเบาหวานจะสามารถป้องกันตนเองจากโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจได้หรือไม่ ป้องกันได้โดยควบคุมเบาหวานให้ดีที่สุด ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ควรวางแผนเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตลอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนทราบถึงปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันรวมทั้งอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โอกาสของผู้ป่วยเบาหวานที่จะเป็นโรคหัวใจถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นควรควบคุมเบาหวานให้ดีที่สุด รวมถึงต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยง ปรับปรุงพฤติกรรมเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากจนเกินไปและที่สำคัญต้องเชื่อฟังคำแนะนำ รวมถึงการปฏิบัติตามแพทย์สั่ง การรักษาจึงจะได้ผลดี ข้อมูลบทสัมภาษณ์ ศ.นพ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ
โรคหัวใจส่วนใหญ่เกิดจากอะไรก่อนอื่นต้องแบ่งว่าเป็นโรคหัวใจชนิดไหน ส่วนใหญ่ที่ถูกกล่าวถึงอยู่บ่อยๆ คือ โรคหลอดเลือดหัวใจตีบซึ่งมีสาเหตุจากความดันโลหิตสูง พบว่ากลุ่มที่มีปัจจัยเสี่ยงส่วนใหญ่เกิดจากเพศชายอายุ 40 ปีขึ้นไป และในเพศหญิงคือ หลังหมดประจำเดือนไปแล้ว คนที่เป็นโรคอ้วนหรือโรคอ้วนลงพุง คือมีรอบเอวใหญ่กว่ารอบสะโพก ตลอดจนการบริโภคอาหารและออกกำลังกาย แต่สำหรับในโรคเบาหวานถือว่าเป็นสาเหตุสำคัญในประเทศไทย ส่วนวิธีป้องกันนั้นต้องแยกสาเหตุที่เป็นปัจจัยเสี่ยง เพราะบางปัจจัยไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ และสิ่งที่สามารถเปลี่ยนแปลงได้ส่วนใหญ่ คือการปรับพฤติกรรมตัวเองโดยเริ่มปรับเปลี่ยนตั้งแต่เด็ก คือไม่ให้อ้วนมาก รับประทานขนมหวานให้น้อยลง เปลี่ยนมารับประทานผักและผลไม้ให้มากขึ้น ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ที่สำคัญคือการได้รับการตรวจเลือดและร่างกายตามระยะเวลาที่กำหนด
ความสัมพันธ์ของโรคหัวใจกับเบาหวานสำหรับคนที่เป็นเบาหวานนั้น มักจะเป็นโรคหัวใจในภายหลัง และสามารถเป็นโรคหัวใจได้เร็วกว่าคนที่ไม่เป็นเบาหวาน เนื่องจากโรคเบาหวานจะทำให้หลอดเลือดเสื่อมลง แต่ต้องดูว่ามีปัจจัยเสี่ยงอื่นที่เพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ เช่น ภาวะคอเลสเตอรอลในเลือดสูง ( คนที่เป็นโรคเบาหวานมีแนวโน้มที่จะมีระดับ LDL Cholesterol สูงกว่าคนปกติ ) ความดันโลหิตสูง การสูบบุหรี่ ความเครียด อ้วน คนที่มีบุคลิกย้ำคิดย้ำทำ เป็นต้น แต่ปัจจุบันนี้ยังพบสาเหตุใหม่ๆ เพิ่มขึ้นอีก เช่น การติดเชื้อบางชนิดจากการที่มีฟันผุ เหงือกอักเสบ และพบว่าสาเหตุนี้นำไปสู่หลอดเลือดหัวใจเสื่อมมากขึ้น
คนที่เป็นเบาหวานมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจมากน้อยแค่ไหนเพียงแค่ระดับน้ำตาลในเลือดผิดปกติทั่วไปก็มีโอกาสเป็นโรคหัวใจได้ ดังนั้นคนที่เป็นเบาหวานยิ่งมีโอกาสเสี่ยงในการเป็นโรคหัวใจสูงมาก ในกรณีของคนที่เป็นเบาหวานเป็นที่ทราบกันดีว่าจะมีอาการทางด้านปลายประสาทอักเสบ ทำให้ความรู้สึกเจ็บปวดลดลงเมื่อโรคหัวใจกำเริบ คืออาการเจ็บหน้าอกหรือแน่นหน้าอก สาเหตุนี้ทำให้ผู้ป่วยเบาหวานไม่รู้ตัวว่าตัวเองมีโรคแทรกซ้อนอยู่
ผู้ป่วยเบาหวานจะมีโอกาสเป็นโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจมากน้อยแค่ไหนสำหรับคนที่ป่วยเป็นเบาหวานแล้วเกิดโรคแทรกซ้อน คือ หัวใจนั้นอยู่ที่ 50 % โดยเฉพาะคนป่วยเป็นเบาหวานมาระยะเวลานาน ยิ่งต้องระวังเพราะมีโอกาสเป็นโรคหัวใจมาก แต่ทั้งนี้ก็ขึ้นอยู่กับการควบคุมปัจจัยหลายๆอย่างด้วย ผู้ที่เป็นเบาหวานหากสงสัยว่าตนเป็นโรคหัวใจแฝงอยู่ควรทำอย่างไร สิ่งแรกควรมาพบแพทย์ เพื่อทำการตรวจร่างกายในขั้นต้นแล้วจึงทำการตรวจกราฟหัวใจ จากนั้นจะทำการประเมินว่ามีอาการอย่างไรบ้าง เป็นที่ทราบกันดีว่าผู้ป่วยเบาหวานมักจะไม่แสดงอาการของโรคหัวใจ ดังนั้นจึงแนะนำว่าคนที่มีปัจจัยเสี่ยง คือทราบว่าตัวเองป่วยเป็นโรคเบาหวาน หรือคนที่มีช่วงอายุเกิน 40 ปีในผู้ชาย และหลังหมดประเดือนในผู้หญิงก็ควรได้รับการตรวจเช่นกัน โดยตรวจด้วยวิธีเดินสายพานเพื่อให้ทราบถึงมูลเหตุของโรคหัวใจอย่างชัดเจน และขั้นตอนต่อไปคือการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าหลอดเลือดหัวใจตีบหรือไม่ แต่หากผลการตรวจเดินสายพานบ่งบอกชัดเจนว่ามีเส้นเลือกหัวใจตีบ ก็สามารถข้ามขั้นตอนการเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ไปสู่การฉีดสีดูเส้นเลือดหัวใจโดยตรง โดยการเจาะเข้าเส้นเลือดแดงที่ข้อมือหรือขา เพื่อสอดสายสวนขึ้นไปสู่เส้นเลือดหัวใจแล้วจึงฉีดสี วิธีนี้จะทำให้ทราบผลอย่างแน่นอน
การรักษาโรคผู้ป่วยโรคหัวใจที่เป็นเบาหวานกับไม่เป็นแตกต่างกันอย่างไรการรักษาแตกต่างกันอย่างแน่นอน โดยเฉพาะผู้ที่ป่วยเป็นเบาหวานเพียงแค่มีอาการแน่นหน้าอกและเหนื่อยง่าย ให้วิเคราะห์ได้เลยว่ามีโอกาสเป็นเส้นเลือดหัวใจตีบสูง ต่างจากคนทั่วไปในวัย 40 ปี ขึ้นไปสำหรับผู้ชาย หรือวัยหมดประจำเดือนในผู้หญิง ซึ่งบางที่อาจจะไม่มีอาการของเบาหวานเพียงเข้ารับการตรวจเล็กน้อย สำหรับการรักษานั้น ผู้ป่วยเบาหวานจะรักษายากกว่า เนื่องจากการรักษาโรคหัวใจต้องควบคุมเบาหวาน ควบคุมไขมันและควบคมความดัน โดยในการควบคุมไขมันและความดันนั้นทำได้ไม่ยาก เพราะตัวยาที่ใช้ให้การผลดีกับการควบคุมปัจจัยเสี่ยงทั้งสองอย่าง ตรงกันข้ามกับเบาหวานที่ควบคุมยาก เพราะนอกจากจะรักษาด้วยยาแล้ว ต้องได้รับความร่วมมือจากผู้ป่วยที่เป็นเบาหวานด้วยจึงจะได้ผล และกรณีที่คนป่วยเป็นเบาหวานเกิดหลอดเลือดตีบรักษาด้วยการทำบอลลูน โดยการใส่ขดลวดเขาไปแล้ว พบว่าการที่หลอดเลือดจะกลับมาตีบซ้ำ มีความเป็นไปได้สูงกว่าคนปกติทั่วไปถึง 10% ถ้าผู้ป่วยเป็นเบาหวานควบคุมเบาหวานไม่ดีเห็นชัดเจนเลยว่าการรักษาค่อนข้างจะยากกว่า และอีกหนึ่งกรณีคือลักษณะเส้นเลือดของคนที่เป็นโรคหัวใจที่ป่วยเป็นเบาหวาน จะมีลักษณะขรุขระมากกว่าคนปกติทั่วไป ทำให้การรักษาด้วยการทำบอลลูนต้องในขดลวดหลายอันและในบางจุดก็ไม่สามารถใส่ได้ จึงถือเป็นการยากมากสำหรับการรักษาโรคัวใจในผู้ป่วยเบาหวานผู้ป่วยเบาหวานจะสามารถป้องกันตนเองจากโรคแทรกซ้อนเกี่ยวกับหัวใจได้หรือไม่ ป้องกันได้โดยควบคุมเบาหวานให้ดีที่สุด ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และต้องควบคุมระดับน้ำตาลในเลือด เช่น ควรวางแผนเรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตลอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนทราบถึงปัจจัยเสี่ยงและการป้องกันรวมทั้งอาการของโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
โอกาสของผู้ป่วยเบาหวานที่จะเป็นโรคหัวใจถือว่ามีความเสี่ยงสูงมาก ดังนั้นควรควบคุมเบาหวานให้ดีที่สุด รวมถึงต้องควบคุมปัจจัยเสี่ยง ปรับปรุงพฤติกรรมเรื่องอาหารการกิน การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ ตลอดจนมีการพักผ่อนที่เพียงพอ ควบคุมน้ำหนักตัวไม่ให้มากจนเกินไปและที่สำคัญต้องเชื่อฟังคำแนะนำ รวมถึงการปฏิบัติตามแพทย์สั่ง การรักษาจึงจะได้ผลดี ข้อมูลบทสัมภาษณ์ ศ.นพ.เกียรติชัย ภูริปัญโญ
จากนิตยาสารเบาหวาน ฉบับ พ.ย. – ธ.ค. 51
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)