อาหารชั้นเลิศสำหรับลูกน้อย สำหรับเด็กทารกแล้ว อาหารชั้นเลิศใดๆในโลกคงทียมไม่ได้กับน้ำนมของแม่ ไม่ว่าจะเป็นชนชาติใดน้ำนมแม่ล้วนจัดถูกให้เป็นสุดยอดเมนูคู่ลูกน้อยทุกคน ในปัจจุบันการตื่นตัวการกินนมให้ลูกนมแม่มากขึ้น ยิ่งในช่วงที่ผ่านมามีปัญหานมผสมการปนเปื้อนของสารเบลานีน นอกจากนี้ยังเป็นที่ยอมรับกันทั่วโลกว่าเด็กที่กินนมแม่จะมีพัฒนาการทางด้านต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นร่างกาย อารมณ์ สติปัญญา และความสามารถในการปรับตัว การเรียนรู้สูงกว่าเด็กที่ไม่ได้กินนมแม่อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ จึงน่าจะถือว่าการมให้ลูกกินนมแม่เป็นการลงทุนที่คุ้มค่าของพ่อแม่ ( Parental investment ) ดีกว่าการฝากธนาคาร หรือการซื้อหุ้น เพราะผลประโยชน์ที่ได้รับมีแต่เพิ่มขึ้นๆตามอายุของลูก การให้ลูกกินนมแม่มีประโยชน์ต่อคน 3 กลุ่ม กล่าวคือ ประโยชน์ต่อตัวคุณแม่จะทำให้น้ำหนักตัวที่เพิ่มขึ้นมากมายในระหว่างการตั้งครรภ์ลดลงอย่างรวดเร็ว โดยไม่มีความจำเป็นต้องพึ่งสถานเสริมความงามต่างๆ นอกจากนี้โอกาสในการเป็นมะเร็งเต้านมของแม่ก็ลดลงด้วย ประโยชน์ต่อลูกคือ เด็กที่กินนมแม่มีโอกาสเสี่ยงต่อการเป็นโรคภูมิแพ้ หอบหืด ผื่นแพ้ และโรคติดเชื้อในระบบต่างๆ เช่น ระบบทางเดินหายใจ ระบบทางเดินอาหาร ฯลฯ ลดลงและยังเป็นเด็กที่เลี้ยงง่าย มีพัฒนาการทั้งด้าน IQ,EQ และ Q ต่างๆเพิ่มขึ้น ประโยชน์ต่อตัวคุณพ่อ แน่นอนประหยัดค่าใช้จ่ายในการซื้อนมผสมต่างๆ แถมยังช่วยเพิ่มความสัมพันธ์ในครอบครัวให้อบอุ่นเข้มแข็งอีก ประโยชน์ของนมแม่ นมแม่เป็นอาหารที่ดีและเหมาะสมที่สุดในการเลี้ยงทารก เพราะมีสารอาหารต่างๆครบถ้วน ปริมาณเหมาะสมและเพียงพอต่อความต้องการของทารก ย่อยและดูดซึมง่าย ต่างจากนมผสมต่างๆที่พยายามจะเพิ่มโปรตีนหรือสารอาหารต่างๆลงไปจนสูงเกินความต้องการของทารก ซึ่งอาจส่งผลเสียในอนาคตมากกว่าผลดี นมแม่มีทอรีน ซึ่งเป็นกรดอะมิโนที่จำเป็นสำหรับทารกสูงกว่านมวัวถึง 55 เท่า ซึ่งทอรีนนี้เป็นส่วนที่จำเป็นต่อการเจริญเติบโตของเนื้อเยื่อ สมองและเซลล์รับภาพของตา นมแม่ยังมีนิวคลีโอไทด์ ซึ่งเป็นส่วนประกอบที่สำคัญและเกี่ยวข้องกับกระบวนการต่างๆของเซลล์ที่จำเป็นต่อโครงสร้างการเจริญเติบโต พลังงานและเมตาบอลิซึมต่างๆมนร่างกาย นอกจากนี้ยังช่วยส่งเสริมการย่อย และการเจริญของเยื่อบุลำไส้เล็ก ทำให้ทารกแรกเกิดที่มีน้ำหนักตัวน้อย มีการเจริญเติบโตที่เร็วขึ้น ช่วยนากรดูดซึมธาตุเหล็ก และช่วยเสริมภูมิคุ้มกันโรค สำหรับนมผสมนั้นมีปริมาณนิวคลีโอไทด์น้อย และชนิดทีมียังแตกต่างจากนมแม่มาก ไขมันในนมแม่ที่เรารู้จักมีหลายชนิด แต่ชนิดที่สำคัญและมีการพูดถึงกันอย่างแพร่หลายก็คือ DHA นั่นเอง ไขมันเหล่านี้มาจากไขมันในอาหารของแม่ ไขมันที่เต้านมสังเคราะห์ขึ้นและไขมันที่สะสมไว้ในเนื้อเยื่อของแม่ เพราะฉะนั้นอาหารทีแม่กินจึงมีส่วนที่เกี่ยวข้องกับชนิดและคุณภาพของไขมันในน้ำนมด้วย นอกจากนี้ในนมแม่ยังมีประโยชน์ด้านการส่งเสริมด้านการสร้างภูมิคุ้มกันในเชื้อโรคต่างๆได้อีกด้วยมารู้จักนมแม่ให้มากขึ้น โดยปกติแล้วนมแม่แต่ละช่วงจะแตกต่างกัน แบ่งคร่าวๆก็คือ ในช่วง 2 – 3 วันแรกหลังคลอดเรียกว่า Colostrum (น้ำนมเหลือง) ระยะต่อมาถึง 2 สัปดาห์หลังคลอดเรียกว่า Transitional milk หลังจากนั้นเรียกว่า Mature milk เห็นมั้ยคะ ธรรมชาติแสนวิเศษ นมแม่แต่ละช่วงมีความเหมาะสมกับลูกในแต่ละวัย เพราะฉะนั้นคงไม่เกินเลยไปนักหากจะกล่าวว่า นมแม่สิแน่จริง น่าจะเป็นสิ่วที่ถูกต้อง |
วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554
นมแม่แสนวิเศษ
วันจันทร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2554
ไขมันเกาะตับอันตราย เสี่ยงมะเร็งตับ ตับแข็ง
ไขมันเกาะตับอันตราย เสี่ยงมะเร็งตับ ตับแข็ง
หากพูดถึงโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ เรามักจะนึกถึงสาเหตุการเกิดโรคว่ามาจากการดื่มสุรา ไวรัสตับอักเสบ หรือมาจากยาบางชนิด แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงตัวการสำคัญอีกประเภทที่ทำให้เกิดโรคร้ายกับไตได้เช่นกันคือ ภาวะไขมันสะสมในตับ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่พบบ่อยและพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Non Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) หรือถ้ามีการอักเสบหรือบวมของเซลล์ตับร่วมด้วย ก็จะเรียกว่า Non Alcoholic Steatohepatitis (NASH)
ภาวะสะสมไขมันในตับ(หรือโรคไขมันเกาะตับ)
คือ ภาวะที่มีการสะสมไขมันภายในเซลล์ตับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ โดยอาจมีเพียงการสะสมของไขมันอย่างเดียว หรืออาจมากรอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งในผู้ป่วยบางราย การเรื้อรังนี้อาจนำไปสู่การเกิดพังผืดในตับ หรือที่เราเรียกว่าภาวะตับแข็งได้ภาวะไขมันสะสมได้บ่อยขนาดไหน? การศึกษาในประเทศอเมริกาและญี่ปุ่นพบว่าประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 10 – 20 มีภาวะไขมันสะสมในตับโดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และประมาณร้อยละ 1 – 3 จะพบการอักเสบเรื้อรังของตับร่วมด้วย โดยจะพบเพิ่มขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป สำหรับประเทศไทยยังไม่มีความชุกของโรคนี้ชัดเจน แต่เชื่อว่าคงใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศ กรณีที่ผู้ป่วยมีค่าการทำงานของตับผิดปกตินานกว่า 3 เดือน ซึ่งบอกถึงภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี, ซี, การดื่มสุรา หรือรับประทานยา พบว่ามากว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะไขมันสะสมในตับที่อาจเป็นสาเหตุได้
สาเหตุและความเสี่ยงของภาวะไขมันสะสมในตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
สาเหตุของโรคนี้ ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจมีหลายปัจจัยร่วมด้วยกัน โดยข้อมูลในปัจจุบันเชื่อว่าปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะไขมันสะสมในตับคือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance )และจากนั้นอาจมีกลไกอื่นที่มากระตุ้นให้เซลล์ตับที่มีไขมันเกาะอยู่นั้นเกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับลักษณะผู้ป่วยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลิน หรือที่ทางการแพทย์เรียกอาการกลุ่มนี้ว่า Metabolic syndrome ได้แก่ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้1. อ้วน โดยเฉพาะอ้วนที่ลำตัว หรือลงพุง (รอบเอวมากกว่า 36 นิ้วในผู้ชาย หรือมากกว่า 32 นิ้วในผู้หญิง )2. เป็นเบาหวาน3. ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมันไตรกลีเซอไรด์4. ความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยที่มีอย่างน้อย 1 ข้อ ดังกล่าว จะมีโอกาสเกอดภาวะไขมันในตับสูง กล่าวคือประมาณร้อยละ 80 ของคนอ้วน และร้อยละ 20 – 40 ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภาวะสะสมไขมันในตับ
อาการของภาวะสะสมในตับ
ผู้ป่วยส่วนมากไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คสุขภาพ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา หรือในรายที่เป็นมานานอาจมีอาการเริ่มต้นของภาวะตับแข็ง เช่น อ่อนเพลีย,ท้องโต เป็นต้น การตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในระยะแรกมักจะปกติหรือพบแค่การตรวจเลือด การดูการทำงานของตับ จะพบค่า ALT และ AST มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 1.5 – 4 เท่า ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของเซลล์ตับ และอาจมีค่า ALP สูงขึ้นเล็กน้อย
การวินิจฉัยภาวะสะสมไขมันในตับ
1. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ จะพบว่ามีการอักเสบ (ค่า ALT และ AST สูงขึ้นกว่าปกติ
2. ตรวจเลือดดูระดับน้ำตาลและไขมัน อาจมีค่าสูงกว่าปกติ
3. ตัดโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบเรื้อรังออกไป โดยประวัติและการตรวจเลือด (เช่น การดื่มสุรา, ทานยา ,ไวรัสตับอักเสบ บี หรือซี เป็นต้น) หรือบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ
4. ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จะพบว่าตับมีสีขาวขึ้นกว่าปกติ และอาจมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการที่มีไขมันแทรกอยู่ในเซลล์ตับทั่วๆไป
5. ตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT scan ) และเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI )
6. เจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีประโยชน์ช่วยบอกสาเหตุ และประเมินความรุนแรงของภาวะตับอักเสบอาจจำเป็นต้องทำในผู้ป่วยบางราย
อันตรายของภาวะไขมันสะสมในตับ
โดยรวมแล้วไขมันสะสมในตับมักมีพยากรณ์โรคที่ดี เราสามารถแบ่งภาวะความรุนแรงของภาวะไขมันสะสมในตับได้เป็น 4 ระดับตามลักษณะทางพยาธิวิทยา โดยผู้ป่วยส่วนมาก จะอยู่ในระดับที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่รุนแรง คือมีเพียงไขมันสะสมในเซลล์ตับอย่างเดียวหรืออาจมีการอักเสบที่ไม่รุนแรงร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะสบายดีแม้ว่าจะติดตามไปนาน 10 – 20 ปีสำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะไขมันสะสมในตับในความรุนแรงระดับ 3 และ 4 กล่าวคือมีการอักเสบรุนแรงทำให้เซลล์ตับบวม และอาจมีพังผืดในตับเกิดขึ้นร่วมด้วย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องระวังเนื่องจากสามารถเกิดตับแข็งได้ได้ร้อยละ 20 – 30 ในเวลา 10 ปี และทำให้เสียชีวิตจากโรคตับ หรือมะเร็งตับได้ประมาณร้อยละ 9 ในเวลา 10 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่จะมีการดำเนินโรคที่รุนแรงนี้ ได้แก่ อายุมาก อ้วนมาก หรือเป็นเบาหวานร่วมด้วย
การปฏิบัติตัวเมื่อทราบว่าตนเองมีภาวะไขมันสะสมในตับ
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้ผลการรักษาดีมาก หรืหายขาดจากโรคนี้ ดังนั้นการรักษาที่สำคัญ และได้ประโยชน์มากที่สุดคือการลดน้ำหนัก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดไขมัน และการอักเสบในตับได้จริงโดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอ้วน อีกทั้งยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย แนะนำให้ค่อยๆลดน้ำหนักลงประมาณ 1 – 2 กิโลกรัมต่อเดือน โดยตั้งเป้าให้ลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 ของน้ำหนักเริ่มต้น หรือจนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีลดน้ำหนักที่ถูกสุขภาพ คือควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ได้แก่ นม เนย ชีส กะทิ ปลาหมึก กุ้ง ไขมันสัตว์ และไข่แดง การทานอาหารจำพวกแป้ง หรือน้ำตางมากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้เช่นกัน ควรลดขนาดอาหารของมื้อแต่ละมื้อ โดยเฉพาะมื้อเย็น แต่ต้องพึงระวังไว้ว่าการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปหรือลดอย่างผิดวิธี เช่นการอดอาหาร หรือการใช้ยาลดความอ้วนโดยไม่มีข้อบ่งชี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และทำให้ตับอักเสบแย่ลงได้ การควบคุมระดับน้ำตาล และระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ การใช้ยาลดไขมันจะสามารถลดระดับไขมันในเลือด รวมถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อีกทั้งยาลดไขมันเองยังก่อให้เกิดตับอักเสบได้ในผู้ป่วยบางราย ดังนั้น จึงเริ่มต้นแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกายก่อนเสมอ และในรายที่ต้องใช้ยาลดไขมัน ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า และการใช้ยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่เราไม่ทราบส่วนผสม เนื่องจากยาเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อตับโดยตรง และจะทำให้แพทย์มีความสับสนในการติดตามภาวการณ์อักเสบของตับโดยการตรวจเลือดได้การรักษาภาวะไขมันสะสมในตับด้วยยา เป้าหมายของการรักษาภาวะไขมันสะสมในตับ คือ ลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดหรือตับแข็งในอนาคต ซึ่งยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม มียาหลายตัวที่มีหลักฐานจากการศึกษามากพอสมควร และมีข้อมูลบ่งว่าน่าจะมีประโยชน์ สามารถลดความผิดปกติของค่า ALT และ AST ในเลือด รวมถึงการลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับลงได้ ได้แก่ 1. ยากลุ่มกระตุ้นความไวต่ออินซูลิน ได้แก่ยา Metformin และ Thiazolidinediones 2. วิตามินอี ขนาด 800 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ( Anti oxidant ) 3. ยา Pentoxifylline มีฤทธิ์ต้านสาร TNF ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของตับ4. Ursodeoxycholic Acid ( UCDA ) เป็นกรดน้ำดีที่มีประโยชน์กับตับ5. Silymarin เป็นสารสกัดจากดอก Milk Thrisle มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ เนื่องจากยาแต่ละตัวอาจมีผลข้างเคียงได้และเหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆกัน ดังนั้นการใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ เพื่อการติดตามที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่เกิดตับแข็งแล้ว ก็ยังมีการรักษาอีกหลายอย่างที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น และภาวการณ์ป้องกันแทรกซ้อนได้ ตลอดจนปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนตับในกรณีที่เป็นตับแข็งในระยะสุดท้าย สามารถทำได้แล้วในประเทศไทย
หากพูดถึงโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ เรามักจะนึกถึงสาเหตุการเกิดโรคว่ามาจากการดื่มสุรา ไวรัสตับอักเสบ หรือมาจากยาบางชนิด แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงตัวการสำคัญอีกประเภทที่ทำให้เกิดโรคร้ายกับไตได้เช่นกันคือ ภาวะไขมันสะสมในตับ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่พบบ่อยและพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Non Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) หรือถ้ามีการอักเสบหรือบวมของเซลล์ตับร่วมด้วย ก็จะเรียกว่า Non Alcoholic Steatohepatitis (NASH)
ภาวะสะสมไขมันในตับ(หรือโรคไขมันเกาะตับ)
คือ ภาวะที่มีการสะสมไขมันภายในเซลล์ตับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ โดยอาจมีเพียงการสะสมของไขมันอย่างเดียว หรืออาจมากรอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งในผู้ป่วยบางราย การเรื้อรังนี้อาจนำไปสู่การเกิดพังผืดในตับ หรือที่เราเรียกว่าภาวะตับแข็งได้ภาวะไขมันสะสมได้บ่อยขนาดไหน? การศึกษาในประเทศอเมริกาและญี่ปุ่นพบว่าประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 10 – 20 มีภาวะไขมันสะสมในตับโดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และประมาณร้อยละ 1 – 3 จะพบการอักเสบเรื้อรังของตับร่วมด้วย โดยจะพบเพิ่มขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป สำหรับประเทศไทยยังไม่มีความชุกของโรคนี้ชัดเจน แต่เชื่อว่าคงใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศ กรณีที่ผู้ป่วยมีค่าการทำงานของตับผิดปกตินานกว่า 3 เดือน ซึ่งบอกถึงภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี, ซี, การดื่มสุรา หรือรับประทานยา พบว่ามากว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะไขมันสะสมในตับที่อาจเป็นสาเหตุได้
สาเหตุและความเสี่ยงของภาวะไขมันสะสมในตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
สาเหตุของโรคนี้ ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจมีหลายปัจจัยร่วมด้วยกัน โดยข้อมูลในปัจจุบันเชื่อว่าปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะไขมันสะสมในตับคือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance )และจากนั้นอาจมีกลไกอื่นที่มากระตุ้นให้เซลล์ตับที่มีไขมันเกาะอยู่นั้นเกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับลักษณะผู้ป่วยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลิน หรือที่ทางการแพทย์เรียกอาการกลุ่มนี้ว่า Metabolic syndrome ได้แก่ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้1. อ้วน โดยเฉพาะอ้วนที่ลำตัว หรือลงพุง (รอบเอวมากกว่า 36 นิ้วในผู้ชาย หรือมากกว่า 32 นิ้วในผู้หญิง )2. เป็นเบาหวาน3. ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมันไตรกลีเซอไรด์4. ความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยที่มีอย่างน้อย 1 ข้อ ดังกล่าว จะมีโอกาสเกอดภาวะไขมันในตับสูง กล่าวคือประมาณร้อยละ 80 ของคนอ้วน และร้อยละ 20 – 40 ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภาวะสะสมไขมันในตับ
อาการของภาวะสะสมในตับ
ผู้ป่วยส่วนมากไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คสุขภาพ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา หรือในรายที่เป็นมานานอาจมีอาการเริ่มต้นของภาวะตับแข็ง เช่น อ่อนเพลีย,ท้องโต เป็นต้น การตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในระยะแรกมักจะปกติหรือพบแค่การตรวจเลือด การดูการทำงานของตับ จะพบค่า ALT และ AST มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 1.5 – 4 เท่า ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของเซลล์ตับ และอาจมีค่า ALP สูงขึ้นเล็กน้อย
การวินิจฉัยภาวะสะสมไขมันในตับ
1. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ จะพบว่ามีการอักเสบ (ค่า ALT และ AST สูงขึ้นกว่าปกติ
2. ตรวจเลือดดูระดับน้ำตาลและไขมัน อาจมีค่าสูงกว่าปกติ
3. ตัดโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบเรื้อรังออกไป โดยประวัติและการตรวจเลือด (เช่น การดื่มสุรา, ทานยา ,ไวรัสตับอักเสบ บี หรือซี เป็นต้น) หรือบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ
4. ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จะพบว่าตับมีสีขาวขึ้นกว่าปกติ และอาจมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการที่มีไขมันแทรกอยู่ในเซลล์ตับทั่วๆไป
5. ตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT scan ) และเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI )
6. เจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีประโยชน์ช่วยบอกสาเหตุ และประเมินความรุนแรงของภาวะตับอักเสบอาจจำเป็นต้องทำในผู้ป่วยบางราย
อันตรายของภาวะไขมันสะสมในตับ
โดยรวมแล้วไขมันสะสมในตับมักมีพยากรณ์โรคที่ดี เราสามารถแบ่งภาวะความรุนแรงของภาวะไขมันสะสมในตับได้เป็น 4 ระดับตามลักษณะทางพยาธิวิทยา โดยผู้ป่วยส่วนมาก จะอยู่ในระดับที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่รุนแรง คือมีเพียงไขมันสะสมในเซลล์ตับอย่างเดียวหรืออาจมีการอักเสบที่ไม่รุนแรงร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะสบายดีแม้ว่าจะติดตามไปนาน 10 – 20 ปีสำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะไขมันสะสมในตับในความรุนแรงระดับ 3 และ 4 กล่าวคือมีการอักเสบรุนแรงทำให้เซลล์ตับบวม และอาจมีพังผืดในตับเกิดขึ้นร่วมด้วย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องระวังเนื่องจากสามารถเกิดตับแข็งได้ได้ร้อยละ 20 – 30 ในเวลา 10 ปี และทำให้เสียชีวิตจากโรคตับ หรือมะเร็งตับได้ประมาณร้อยละ 9 ในเวลา 10 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่จะมีการดำเนินโรคที่รุนแรงนี้ ได้แก่ อายุมาก อ้วนมาก หรือเป็นเบาหวานร่วมด้วย
การปฏิบัติตัวเมื่อทราบว่าตนเองมีภาวะไขมันสะสมในตับ
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้ผลการรักษาดีมาก หรืหายขาดจากโรคนี้ ดังนั้นการรักษาที่สำคัญ และได้ประโยชน์มากที่สุดคือการลดน้ำหนัก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดไขมัน และการอักเสบในตับได้จริงโดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอ้วน อีกทั้งยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย แนะนำให้ค่อยๆลดน้ำหนักลงประมาณ 1 – 2 กิโลกรัมต่อเดือน โดยตั้งเป้าให้ลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 ของน้ำหนักเริ่มต้น หรือจนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีลดน้ำหนักที่ถูกสุขภาพ คือควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ได้แก่ นม เนย ชีส กะทิ ปลาหมึก กุ้ง ไขมันสัตว์ และไข่แดง การทานอาหารจำพวกแป้ง หรือน้ำตางมากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้เช่นกัน ควรลดขนาดอาหารของมื้อแต่ละมื้อ โดยเฉพาะมื้อเย็น แต่ต้องพึงระวังไว้ว่าการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปหรือลดอย่างผิดวิธี เช่นการอดอาหาร หรือการใช้ยาลดความอ้วนโดยไม่มีข้อบ่งชี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และทำให้ตับอักเสบแย่ลงได้ การควบคุมระดับน้ำตาล และระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ การใช้ยาลดไขมันจะสามารถลดระดับไขมันในเลือด รวมถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อีกทั้งยาลดไขมันเองยังก่อให้เกิดตับอักเสบได้ในผู้ป่วยบางราย ดังนั้น จึงเริ่มต้นแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกายก่อนเสมอ และในรายที่ต้องใช้ยาลดไขมัน ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า และการใช้ยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่เราไม่ทราบส่วนผสม เนื่องจากยาเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อตับโดยตรง และจะทำให้แพทย์มีความสับสนในการติดตามภาวการณ์อักเสบของตับโดยการตรวจเลือดได้การรักษาภาวะไขมันสะสมในตับด้วยยา เป้าหมายของการรักษาภาวะไขมันสะสมในตับ คือ ลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดหรือตับแข็งในอนาคต ซึ่งยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม มียาหลายตัวที่มีหลักฐานจากการศึกษามากพอสมควร และมีข้อมูลบ่งว่าน่าจะมีประโยชน์ สามารถลดความผิดปกติของค่า ALT และ AST ในเลือด รวมถึงการลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับลงได้ ได้แก่ 1. ยากลุ่มกระตุ้นความไวต่ออินซูลิน ได้แก่ยา Metformin และ Thiazolidinediones 2. วิตามินอี ขนาด 800 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ( Anti oxidant ) 3. ยา Pentoxifylline มีฤทธิ์ต้านสาร TNF ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของตับ4. Ursodeoxycholic Acid ( UCDA ) เป็นกรดน้ำดีที่มีประโยชน์กับตับ5. Silymarin เป็นสารสกัดจากดอก Milk Thrisle มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ เนื่องจากยาแต่ละตัวอาจมีผลข้างเคียงได้และเหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆกัน ดังนั้นการใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ เพื่อการติดตามที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่เกิดตับแข็งแล้ว ก็ยังมีการรักษาอีกหลายอย่างที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น และภาวการณ์ป้องกันแทรกซ้อนได้ ตลอดจนปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนตับในกรณีที่เป็นตับแข็งในระยะสุดท้าย สามารถทำได้แล้วในประเทศไทย
วันจันทร์ที่ 12 กันยายน พ.ศ. 2554
การรักษาอุณหภูมิในร่างกาย
ขณะออกกำลังกายหนักร่างกายสามารถผลิตความร้อนมากกว่าขณะพักผ่อนถึงประมาณ 20 – 30 เท่า ร่างกายจะเกิดการหลั่งเหงื่อเพื่อระบายความร้อนออกนอกร่างกาย โดยที่จะเกิดความสมดุลเมื่อผลิตความร้อน เท่ากับความร้อนที่ระบายออก ดังนั้นความร้อน และความเย็นของอากาศบริเวณที่ฝึก จึงมีความสำคัญต่อการรักษาอุณหภูมิในร่างกาย และประสิทธิภาพในการทำงาน จากงานวิจัยของ เพ็ญจันทร์ ศรีสุขสวัสดิ์ (2518) ได้ศึกษาถึงอิทธิพลของความร้อนและความเย็นที่มีต่อการฝึกกล้ามเนื้อ โดยฝึกงอข้อมือ และเหยียดข้อมือ 120 ครั้ง/นาที ในตู้ปรับอากาศร้อน ตู้ปรับอากาศเย็น และตู้ปรับอากาศธรรมดา ฝึก 4 สัปดาห์ ๆ ละ 4 วันๆ ละ 1 นาที นำผลการทดสอบไปหาค่าทางสถิติโดยการทดสอบค่า “ ที ” (t – test) พบว่า อากาศแวดล้อมมีอิทธิพลต่อการฝึกกล้ามเนื้อ โดยที่สภาพอากาศแวดล้อมที่ร้อนกว่าปกติให้ผลในเชิงส่งเสริมการฝึก เห็นได้จากความสามารถในการทำงานมีมากกว่าการฝึกในอากาศปกติ |
วันศุกร์ที่ 9 กันยายน พ.ศ. 2554
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
ความสำคัญของเอทีพี พีซีกับการสร้างพลังงานในเชิงแอนแอโรบิค
เอทีพี ซีพี และกรดแลคติค ในกล้ามเนื้อมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง กับการสร้างพลังงานในเชิงแอนแอโรบิค จอร์เฟล์ดท (Jorefeldt, 1970) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการสลายตัวของฟอสฟาเจน (ATP + CP) และการสะสมของกรดแลคติคในกล้ามเนื้อในการออกกำลังกายสูงสุด และเกือบจะสูงสุด โดยให้ผู้รับการทดลองที่ได้รับการฝึกออกกำลังกาย 13 คน และผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก 15 คน พบว่า มีการสลายตัวของครีเอทีนฟอสเฟตในการออกกำลังกายเกือบจะสูงสุดทั้งสองกลุ่ม การสะสมของกรดแลคติคจะเริ่มขึ้นเมื่อการออกกำลังกายมีระดับ 50 – 65 % ของสมรรถภาพในการรับออกซิเจนสูงสุดของแต่ละคน และพบว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกจะมีการสะสมของกรดแลคติคสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการฝึก และในกลุ่มที่ได้รับการฝึก จะมีการสร้าง เอทีพี และซีพี ขึ้นทดแทนได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึก ซึ่งสอดคล้องกับ (เทเวศร์ พิริยะพฤนท์, 2523 อ้างอิงจาก Thomas, 1974) ที่ทำการศึกษาเรื่อง การทำงานแบบ แอนแอโรบิค ที่ระดับงานสูงสุดในผู้เข้ารับการทดลองที่มีสมรรถภาพสูง 8 คน และ สมรรถภาพปานกลาง 8 คน ให้ออกกำลังกายโดยการถีบจักรยานเป็นเวลา 6 นาที ที่ความหนักของงาน 70 % , 80 % และ 90%ของสมรรถภาพการจับออกซิเจนสูงสุดของแต่ละคน หลังจากงานสิ้นสุดลง ทำการบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ และเจาะตัวอย่างเลือดหลังจากการออกกำลังกายแล้ว 3 ½ นาที เพื่อวิเคราะห์หากรดแลคติค พบว่า กลุ่มที่มีสมรรถภาพสูงจะมีกรดแลคติค หลังการออกกำลังกายต่ำกว่ากลุ่มที่มีสมรรถภาพปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่า กลุ่มที่มีสมรรถภาพทางกายสูง จะมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่ากลุ่มที่มีสมรรถภาพทางกายปานกลาง นอกจากนี้ความหนักของงาน ที่เพิ่มขึ้น จะมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของกรดแลคติคในเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ |
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)