หากพูดถึงโรคตับแข็งหรือมะเร็งตับ เรามักจะนึกถึงสาเหตุการเกิดโรคว่ามาจากการดื่มสุรา ไวรัสตับอักเสบ หรือมาจากยาบางชนิด แต่ในที่นี้จะขอกล่าวถึงตัวการสำคัญอีกประเภทที่ทำให้เกิดโรคร้ายกับไตได้เช่นกันคือ ภาวะไขมันสะสมในตับ ที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา ซึ่งเป็นอีกสาเหตุที่พบบ่อยและพบเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ในปัจจุบันทางการแพทย์เรียกภาวะนี้ว่า Non Alcoholic Fatty Liver Disease (NAFLD) หรือถ้ามีการอักเสบหรือบวมของเซลล์ตับร่วมด้วย ก็จะเรียกว่า Non Alcoholic Steatohepatitis (NASH)
ภาวะสะสมไขมันในตับ(หรือโรคไขมันเกาะตับ)
คือ ภาวะที่มีการสะสมไขมันภายในเซลล์ตับ ซึ่งส่วนใหญ่อยู่ในรูปของไตรกลีเซอไรด์ โดยอาจมีเพียงการสะสมของไขมันอย่างเดียว หรืออาจมากรอักเสบของตับร่วมด้วย ซึ่งในผู้ป่วยบางราย การเรื้อรังนี้อาจนำไปสู่การเกิดพังผืดในตับ หรือที่เราเรียกว่าภาวะตับแข็งได้ภาวะไขมันสะสมได้บ่อยขนาดไหน? การศึกษาในประเทศอเมริกาและญี่ปุ่นพบว่าประชากรทั่วไปประมาณร้อยละ 10 – 20 มีภาวะไขมันสะสมในตับโดยการตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ และประมาณร้อยละ 1 – 3 จะพบการอักเสบเรื้อรังของตับร่วมด้วย โดยจะพบเพิ่มขึ้นในประชากรที่มีอายุมากกว่า 40 ปีขึ้นไป สำหรับประเทศไทยยังไม่มีความชุกของโรคนี้ชัดเจน แต่เชื่อว่าคงใกล้เคียงกับข้อมูลของต่างประเทศ กรณีที่ผู้ป่วยมีค่าการทำงานของตับผิดปกตินานกว่า 3 เดือน ซึ่งบอกถึงภาวะตับอักเสบเรื้อรังโดยที่ไม่ได้เกิดจากไวรัสตับอักเสบ บี, ซี, การดื่มสุรา หรือรับประทานยา พบว่ามากว่าร้อยละ 60 ของผู้ป่วยกลุ่มนี้จะมีภาวะไขมันสะสมในตับที่อาจเป็นสาเหตุได้
สาเหตุและความเสี่ยงของภาวะไขมันสะสมในตับที่ไม่ได้เกิดจากการดื่มสุรา
สาเหตุของโรคนี้ ปัจจุบันยังไม่เป็นที่ทราบแน่ชัด อาจมีหลายปัจจัยร่วมด้วยกัน โดยข้อมูลในปัจจุบันเชื่อว่าปัจจัยสำคัญของการเกิดภาวะไขมันสะสมในตับคือ ภาวะดื้อต่ออินซูลิน ( insulin resistance )และจากนั้นอาจมีกลไกอื่นที่มากระตุ้นให้เซลล์ตับที่มีไขมันเกาะอยู่นั้นเกิดการอักเสบและการตายของเซลล์ตับลักษณะผู้ป่วยที่มีความสัมพันธ์กับการดื้อต่ออินซูลิน หรือที่ทางการแพทย์เรียกอาการกลุ่มนี้ว่า Metabolic syndrome ได้แก่ผู้ป่วยที่มีลักษณะต่อไปนี้1. อ้วน โดยเฉพาะอ้วนที่ลำตัว หรือลงพุง (รอบเอวมากกว่า 36 นิ้วในผู้ชาย หรือมากกว่า 32 นิ้วในผู้หญิง )2. เป็นเบาหวาน3. ไขมันในเลือดสูง โดยเฉพาะไขมันไตรกลีเซอไรด์4. ความดันโลหิตสูง พบว่าผู้ป่วยที่มีอย่างน้อย 1 ข้อ ดังกล่าว จะมีโอกาสเกอดภาวะไขมันในตับสูง กล่าวคือประมาณร้อยละ 80 ของคนอ้วน และร้อยละ 20 – 40 ในผู้ป่วยโรคเบาหวานจะมีภาวะสะสมไขมันในตับ
อาการของภาวะสะสมในตับ
ผู้ป่วยส่วนมากไม่มีอาการ มักตรวจพบโดยบังเอิญจากการตรวจเช็คสุขภาพ ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการจุกแน่นชายโครงด้านขวา หรือในรายที่เป็นมานานอาจมีอาการเริ่มต้นของภาวะตับแข็ง เช่น อ่อนเพลีย,ท้องโต เป็นต้น การตรวจร่างกายโดยแพทย์ ในระยะแรกมักจะปกติหรือพบแค่การตรวจเลือด การดูการทำงานของตับ จะพบค่า ALT และ AST มีค่าสูงกว่าปกติประมาณ 1.5 – 4 เท่า ซึ่งบ่งถึงการอักเสบของเซลล์ตับ และอาจมีค่า ALP สูงขึ้นเล็กน้อย
การวินิจฉัยภาวะสะสมไขมันในตับ
1. ตรวจเลือดดูการทำงานของตับ จะพบว่ามีการอักเสบ (ค่า ALT และ AST สูงขึ้นกว่าปกติ
2. ตรวจเลือดดูระดับน้ำตาลและไขมัน อาจมีค่าสูงกว่าปกติ
3. ตัดโรคอื่นที่เป็นสาเหตุของภาวะตับอักเสบเรื้อรังออกไป โดยประวัติและการตรวจเลือด (เช่น การดื่มสุรา, ทานยา ,ไวรัสตับอักเสบ บี หรือซี เป็นต้น) หรือบางรายอาจจำเป็นต้องเจาะตรวจชิ้นเนื้อตับ
4. ตรวจด้วยเครื่องอัลตราซาวด์ จะพบว่าตับมีสีขาวขึ้นกว่าปกติ และอาจมีขนาดโตขึ้นเล็กน้อย ซึ่งเกิดจากการที่มีไขมันแทรกอยู่ในเซลล์ตับทั่วๆไป
5. ตรวจด้วยวิธีเอกซเรย์คอมพิวเตอร์ ( CT scan ) และเอกซเรย์ด้วยคลื่นแม่เหล็กไฟฟ้า ( MRI )
6. เจาะชิ้นเนื้อตับมาตรวจทางพยาธิวิทยา ซึ่งมีประโยชน์ช่วยบอกสาเหตุ และประเมินความรุนแรงของภาวะตับอักเสบอาจจำเป็นต้องทำในผู้ป่วยบางราย
อันตรายของภาวะไขมันสะสมในตับ
โดยรวมแล้วไขมันสะสมในตับมักมีพยากรณ์โรคที่ดี เราสามารถแบ่งภาวะความรุนแรงของภาวะไขมันสะสมในตับได้เป็น 4 ระดับตามลักษณะทางพยาธิวิทยา โดยผู้ป่วยส่วนมาก จะอยู่ในระดับที่ 1 และ 2 ซึ่งไม่รุนแรง คือมีเพียงไขมันสะสมในเซลล์ตับอย่างเดียวหรืออาจมีการอักเสบที่ไม่รุนแรงร่วมด้วย ผู้ป่วยกลุ่มนี้จะสบายดีแม้ว่าจะติดตามไปนาน 10 – 20 ปีสำหรับผู้ป่วยกลุ่มที่มีภาวะไขมันสะสมในตับในความรุนแรงระดับ 3 และ 4 กล่าวคือมีการอักเสบรุนแรงทำให้เซลล์ตับบวม และอาจมีพังผืดในตับเกิดขึ้นร่วมด้วย กลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ต้องระวังเนื่องจากสามารถเกิดตับแข็งได้ได้ร้อยละ 20 – 30 ในเวลา 10 ปี และทำให้เสียชีวิตจากโรคตับ หรือมะเร็งตับได้ประมาณร้อยละ 9 ในเวลา 10 ปี โดยปัจจัยเสี่ยงที่พบบ่อยในผู้ป่วยที่จะมีการดำเนินโรคที่รุนแรงนี้ ได้แก่ อายุมาก อ้วนมาก หรือเป็นเบาหวานร่วมด้วย
การปฏิบัติตัวเมื่อทราบว่าตนเองมีภาวะไขมันสะสมในตับ
เนื่องจากปัจจุบันยังไม่มียาที่ได้ผลการรักษาดีมาก หรืหายขาดจากโรคนี้ ดังนั้นการรักษาที่สำคัญ และได้ประโยชน์มากที่สุดคือการลดน้ำหนัก ซึ่งได้รับการพิสูจน์แล้วว่าลดไขมัน และการอักเสบในตับได้จริงโดยเฉพาะกรณีที่ผู้ป่วยอ้วน อีกทั้งยังมีผลดีต่อสุขภาพโดยรวมด้วย แนะนำให้ค่อยๆลดน้ำหนักลงประมาณ 1 – 2 กิโลกรัมต่อเดือน โดยตั้งเป้าให้ลดลงอย่างน้อยร้อยละ 15 ของน้ำหนักเริ่มต้น หรือจนน้ำหนักอยู่ในเกณฑ์ปกติ วิธีลดน้ำหนักที่ถูกสุขภาพ คือควบคุมอาหารควบคู่กับการออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ หลีกเลี่ยงอาหารที่มีไขมันสูง ได้แก่ นม เนย ชีส กะทิ ปลาหมึก กุ้ง ไขมันสัตว์ และไข่แดง การทานอาหารจำพวกแป้ง หรือน้ำตางมากเกินไป ก็สามารถเปลี่ยนเป็นไขมันไตรกลีเซอไรด์ได้เช่นกัน ควรลดขนาดอาหารของมื้อแต่ละมื้อ โดยเฉพาะมื้อเย็น แต่ต้องพึงระวังไว้ว่าการลดน้ำหนักที่เร็วเกินไปหรือลดอย่างผิดวิธี เช่นการอดอาหาร หรือการใช้ยาลดความอ้วนโดยไม่มีข้อบ่งชี้อาจส่งผลเสียต่อสุขภาพ และทำให้ตับอักเสบแย่ลงได้ การควบคุมระดับน้ำตาล และระดับไขมันในเลือดให้อยู่ในเกณฑ์ปกติ สำหรับผู้ป่วยที่มีข้อบ่งชี้ การใช้ยาลดไขมันจะสามารถลดระดับไขมันในเลือด รวมถึงความเสี่ยงของโรคหัวใจและหลอดเลือดได้ อีกทั้งยาลดไขมันเองยังก่อให้เกิดตับอักเสบได้ในผู้ป่วยบางราย ดังนั้น จึงเริ่มต้นแนะนำให้ควบคุมอาหารร่วมกับออกกำลังกายก่อนเสมอ และในรายที่ต้องใช้ยาลดไขมัน ก็ควรอยู่ในความดูแลของแพทย์ ควรหลีกเลี่ยงการดื่มเหล้า และการใช้ยาที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะยาสมุนไพรที่เราไม่ทราบส่วนผสม เนื่องจากยาเหล่านี้อาจส่งผลเสียต่อตับโดยตรง และจะทำให้แพทย์มีความสับสนในการติดตามภาวการณ์อักเสบของตับโดยการตรวจเลือดได้การรักษาภาวะไขมันสะสมในตับด้วยยา เป้าหมายของการรักษาภาวะไขมันสะสมในตับ คือ ลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับ เพื่อป้องกันการเกิดพังผืดหรือตับแข็งในอนาคต ซึ่งยาที่ใช้รักษาในปัจจุบันส่วนใหญ่ยังอยู่ในช่วงการศึกษาวิจัย อย่างไรก็ตาม มียาหลายตัวที่มีหลักฐานจากการศึกษามากพอสมควร และมีข้อมูลบ่งว่าน่าจะมีประโยชน์ สามารถลดความผิดปกติของค่า ALT และ AST ในเลือด รวมถึงการลดปริมาณไขมันและการอักเสบภายในตับลงได้ ได้แก่ 1. ยากลุ่มกระตุ้นความไวต่ออินซูลิน ได้แก่ยา Metformin และ Thiazolidinediones 2. วิตามินอี ขนาด 800 – 1,200 มิลลิกรัมต่อวัน ซึ่งมีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ ( Anti oxidant ) 3. ยา Pentoxifylline มีฤทธิ์ต้านสาร TNF ซึ่งเกี่ยวข้องกับการอักเสบของตับ4. Ursodeoxycholic Acid ( UCDA ) เป็นกรดน้ำดีที่มีประโยชน์กับตับ5. Silymarin เป็นสารสกัดจากดอก Milk Thrisle มีฤทธิ์ต้านสารอนุมูลอิสระ เนื่องจากยาแต่ละตัวอาจมีผลข้างเคียงได้และเหมาะสมกับผู้ป่วยกลุ่มต่างๆกัน ดังนั้นการใช้ยาควรอยู่ในความควบคุมดูแลของแพทย์ เพื่อการติดตามที่เหมาะสมสำหรับผู้ป่วยที่เกิดตับแข็งแล้ว ก็ยังมีการรักษาอีกหลายอย่างที่จะช่วยให้อาการดีขึ้น และภาวการณ์ป้องกันแทรกซ้อนได้ ตลอดจนปัจจุบันการผ่าตัดเปลี่ยนตับในกรณีที่เป็นตับแข็งในระยะสุดท้าย สามารถทำได้แล้วในประเทศไทย
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น