เอทีพี ซีพี และกรดแลคติค ในกล้ามเนื้อมีส่วนสำคัญเป็นอย่างยิ่ง กับการสร้างพลังงานในเชิงแอนแอโรบิค จอร์เฟล์ดท (Jorefeldt, 1970) ได้ทำการศึกษาเกี่ยวกับการสลายตัวของฟอสฟาเจน (ATP + CP) และการสะสมของกรดแลคติคในกล้ามเนื้อในการออกกำลังกายสูงสุด และเกือบจะสูงสุด โดยให้ผู้รับการทดลองที่ได้รับการฝึกออกกำลังกาย 13 คน และผู้ที่ไม่ได้รับการฝึก 15 คน พบว่า มีการสลายตัวของครีเอทีนฟอสเฟตในการออกกำลังกายเกือบจะสูงสุดทั้งสองกลุ่ม การสะสมของกรดแลคติคจะเริ่มขึ้นเมื่อการออกกำลังกายมีระดับ 50 – 65 % ของสมรรถภาพในการรับออกซิเจนสูงสุดของแต่ละคน และพบว่า ผู้ที่ไม่ได้รับการฝึกจะมีการสะสมของกรดแลคติคสูงกว่ากลุ่มที่ได้รับการฝึก และในกลุ่มที่ได้รับการฝึก จะมีการสร้าง เอทีพี และซีพี ขึ้นทดแทนได้เร็วกว่ากลุ่มที่ไม่ได้รับการฝึก ซึ่งสอดคล้องกับ (เทเวศร์ พิริยะพฤนท์, 2523 อ้างอิงจาก Thomas, 1974) ที่ทำการศึกษาเรื่อง การทำงานแบบ แอนแอโรบิค ที่ระดับงานสูงสุดในผู้เข้ารับการทดลองที่มีสมรรถภาพสูง 8 คน และ สมรรถภาพปานกลาง 8 คน ให้ออกกำลังกายโดยการถีบจักรยานเป็นเวลา 6 นาที ที่ความหนักของงาน 70 % , 80 % และ 90%ของสมรรถภาพการจับออกซิเจนสูงสุดของแต่ละคน หลังจากงานสิ้นสุดลง ทำการบันทึกอัตราการเต้นของหัวใจ และเจาะตัวอย่างเลือดหลังจากการออกกำลังกายแล้ว 3 ½ นาที เพื่อวิเคราะห์หากรดแลคติค พบว่า กลุ่มที่มีสมรรถภาพสูงจะมีกรดแลคติค หลังการออกกำลังกายต่ำกว่ากลุ่มที่มีสมรรถภาพปานกลาง อย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ และพบว่า กลุ่มที่มีสมรรถภาพทางกายสูง จะมีอัตราการเต้นของหัวใจต่ำกว่ากลุ่มที่มีสมรรถภาพทางกายปานกลาง นอกจากนี้ความหนักของงาน ที่เพิ่มขึ้น จะมีความสัมพันธ์กับการเพิ่มของกรดแลคติคในเลือดอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ |
วันจันทร์ที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2554
ความสำคัญของเอทีพี พีซีกับการสร้างพลังงานในเชิงแอนแอโรบิค
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น