หลอดเลือดหัวใจตีบเกิดจากการที่ไขมันมาเกาะบนเยื่อบุผิวภายในผนังหลอดเลือด ทำให้รูหลอดเลือดค่อยๆตีบแคบลง ในระยะแรกอาจไม่มีอาการ จนกระทั่งตีบแคบลงเกินร้อยละ 50 ของเส้นผ่าศูนย์กลาง หลอดเลือดจึงจะแสดงอาการ ถ้าบริเวณที่ตีบแคบนี้ถูกลิ่มเลือดไปอุดตันอย่างทันทีทันใด กล้ามเนื้อหัวใจจะเกิดภาวะขาดเลือดทันที ส่งผลให้เกิดภาวะหัวใจเต้นผิดจังหวะหัวใจวาย และผู้ป่วยจะมีอันตรายถึงแก่ชีวิต ดังนั้นการตรวจหลอดเลือดหัวใจ นับเป็นการป้องกันการเสียชีวิตจากโรคหัวใจได้สัญญาณเตือนภัย
สัญญาณที่บ่งบอกว่าโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ ได้แก่ อาการเจ็บแน่นหน้าอก จุกเสียด แน่นตรงกลางหน้าอก อึดอัด หายใจไม่สะดวก เหมือนมีอะไรมากดทับหรือบีบรัดหน้าอก อาจมีอาการปวดร้าวไปที่ต้นคอ แขนซ้ายหรือกราม ร่วมกับมีอาการคลื่นไส้ เหงื่อออก อาการเหล่านี้มักเกิดขณะออกกำลังกาย และดีขึ้นเมื่อหยุดพักหรืออมยาใต้ลิ้น หากหลอดเลือดหัวใจตีบมาก อาการเหล่านี้จะรุนแรง เกิดภาวะกล้ามเนื้อหัวใจตายเฉียบพลัน ทำให้หัวใจหยุดเต้นกะทันหันได้การวินิจฉันโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ
เมื่อแพทย์สงสัยโรคหลอดเลือดหัวใจตีบ แพทย์จะทำการตรวจร่างกาย เอกซเรย์ปอด เจาะเลือดเพื่อตรวจทางห้องปฏิบัติการตรวจคลื่นไฟฟ้าหัวใจ ตรวจหัวใจด้วยคลื่นสะท้อนความถี่สูง ตรวจสมรรถภาพหัวใจด้วยการเดินสายพาน โดยผู้ป่วยอาจได้รับการตรวจเพียงบางอย่าง หรือทุกอย่างซึ่งแพทย์จะเป็นพิจารณาตามความเหมาะสมของผู้ป่วยแต่ละราย
การตรวจสวนหลอดเลือดหัวใจ คืออะไร
เป็นการตรวจวินิจฉัยโรคหลอดเลือดหัวใจ โดยการสอดสายสวนขนาดเล็กประมาณ 2 มิลลิลิตร ผ่านผิวหนังบริเวณขาหนีบหรือข้อมือ เข้าไปในหลอดเลือดแดงถึงหลอดเลือดหัวใจ ฉีดสารที่เป็นของเหลวทึบรังสีเข้าไป เพื่อดูการไหลเวียนของเลือดและตรวจหาความผิดปกติต่างๆ ( สารทึบรังสีนี้เป็นสารไอโอดีน ซึ่งมีมากในอาหารทะเล ปริมาณที่ใช้ฉีดจะไม่เป็นอันตรายต่อร่างกาย ยกเว้นผู้ป่วยที่เคยมีประวัติแพ้อาหารทะเล และผู้ที่มีความผิดปกติของการทำงานของไต ซึ่งแพทย์จะเป็นผู้พิจารณาลดปริมาณสารทับรังสี หรือพิจารณาการตรวจพิเศษอื่นๆแทน ) การตรวจโดยวิธีสวนหลอดเลือดหัวใจ เป็นการตรวจที่ถูกต้องแม่นยำที่สุด แพทย์สามารถมองเห็นเส้นเลือดที่ไปเลี้ยงหัวใจได้โดยตรงว่ามีการอุดตันมากน้อยเพียงใด อุดตันกี่แห่ง สภาพหลอดเลือดที่อุดตันสามารถทำการรักษาด้วยวิธีถ่างขยายหลอดเลือดที่อุดตันด้วยบอลลูนหรือไม่ ระยะเวลาในการตรวจสวนเลือดหัวใจเฉลี่ยประมาณ ½ - 1 ชั่วโมง กรตรวจสวนหัวใจมีความเสี่ยงเพียง 0.01 % หรือ 1 คนต่อ 1,000 ซึ่งถือว่าน้อยมาก จึงนับว่าเป็นมาตรฐานที่แม่นยำ และเป็นข้อสรุปของการตรวจหลอดเลือดหัวใจ
การตรวจสวนหัวใจ ต้องเตรียมตัวอย่างไร
แพทย์จะเจาะเส้นเลือดแดงที่ขาหนีบด้านขวาเพื่อสอดสายสวน ดังนั้นผู้ป่วยควรอาบน้ำทำความสะอาดร่างกาย โดยเฉพาะบริเวณขาหนีบและต้นขาทั้งสองข้าง ควรงดอาหารและเครื่องดื่มอย่างน้อย 4 – 6 ชั่วโมงก่อนการสวนหัวใจ อาจดื่มน้ำได้บ้างเมื่อต้องรบประทานยา หากกระหายน้ำมากอาจใช้วิธีอมกลั้วคอแล้วบ้วนออกได้ ควรหยุดยาการต้านการแข็งตัวของหลอดเลือด (Warfarin) อย่างน้อย 3 วันก่อนสวนหัวใจ เจ้าหน้าที่จะโกนขนบริเวณขาหนีบเพื่อทำความสะอาดและเช็ดด้วยน้ำยาฆ่าเชื้อโรค พยาบาลจะเปิดเส้นเพื่อให้น้ำเกลือที่ข้อมือหรือหลังมือของผู้ป่วย ผู้ป่วยควรปัสสาวะให้เรียบร้อยก่อนรับการตรวจ หลังการสวนหัวใจผู้ป่วยสามารถสามารถดื่มน้ำและรับประทานอาหารได้ ควรดื่มน้ำมากๆเพื่อไล่สารทึบรังสีให้ออกจากร่างกาย ผู้ป่วยต้องนอนราบบนเตียงประมาณ 4 – 6 ชั่วโมง สามารถพลิกตัวได้โดยไม่ต้องงอขาหนีบ หรืองอได้เกิน 30 องศา (โดยการปรับเตียง) แต่ยังไม่ควรยืน นั่ง หรือเดินเข้าห้องน้ำเอง ในวันรุ่งขึ้นหากไม่มีภาวะแทรกซ้อน แพทย์จะอนุญาตให้กลับบ้านได้ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติงานตามปกติในวันรุ่งขึ้นแต่ในระยะ 1 – 2 วันแรก ไ ม่ควรเดินบ่อย และไม่ควรเปิดแผลหรือให้แผลภูน้ำประมาณ 3 – 5 วัน และควรมาตรวจตามที่แพทย์นัด หากมีอาการเจ็บแน่นห้าอกหรืออาการผิดปกติให้รีบมาพบแพทย์
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น