โรคเบาหวาน รักษาด้วย มะระขี้นก
ถ้าจะกล่าวถึงโรคที่คนในยุคปัจจุบันเป็นกันมากก็คง
ไม่พ้นโรคหัวใจ เบาหวาน ไขมันหรือคลอเลสเตอรอลสูง
ซึ่งทั้งหมดนี้มีความเกี่ยวข้องกับลักษณะการดำเนินชีวิต การรับประทานอาหาร
ตลอดจนขาดการออกกำลังกาย
อันเป็นสาเหตุของความเสื่อมถอยของเซลล์ในร่างกายนั่นเอง
เบาหวานเป็นภาวะความผิดปกติของระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่สูงกว่าปกติ
ทั้งนี้เป็นผลเนื่องจากการขาดฮอร์โมนอินซูลิน(ซึ่งเป็นฮอร์โมนที่ทำหน้าที่
ควบคุมน้ำตาลในกระแสเลือด
และฮอร์โมนชนิดนี้ถูกผลิตขึ้นจากกลุ่มเซลล์ในตับอ่อน)
หรือเซลล์ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินได้ลดลงหรืออาจมาจากทั้งสองปัจจัยร่วม
กัน
ดังนั้นจึงอาจกล่าวได้ว่าเบาหวานเป็นโรคที่เกี่ยวกับความผิดปกติของระบบเมตา
บอลิซึมที่ต้องการรักษาจำเป็นต้องอาศัยการปรับวิถีการดำเนินชีวิตอาการของผู้เป็นเบาหวานได้แก่ มีน้ำตาลในปัสสาวะ ระดับน้ำตาลในเลือดเพิ่มสูงขึ้น หิวน้ำบ่อย ปัสสาวะบ่อย หิวบ่อย น้ำหนักลด ไม่มีแรง สูญเสียอิเล็คโทรไลต์ ผิวแห้ง คัน มีผื่นแดง มือเท้าชา ผนังเส้นเลือดแดงหนาตัว ตาพร่ามัว นอกจากนี้ยังเป็นสาเหตุของโรคไต ภาวะคีโตซิส(คีโตนคั่ง) ภาวะร่างกายเป็นกรด ตลอดจนเป็นอันตรายแก่ชีวิตได้
สาเหตุของเบาหวาน ได้แก่
- อาหาร : การรับประทานอาหารประเภทแป้งขัดสี น้ำตาลและอาหารไม่มีกากใย การรับประทานอาหารที่มีไขมันอิ่มตัวมากเกินไป
- ตับอ่อนเสื่อม เนื่องจาก การรับประทานอาหารที่ไม่มีกากใย กาแฟ การดื่มแอลกอฮอล์ สูบบุหรี่ ความเครียด
- การติดเชื้อไวรัส
- โรคอ้วน
- กรรมพันธุ์
ฮอร์โมนอินซูลินผลิตจากเบตาเซลล์ในตับอ่อน ซึ่งตอบสนองต่อระดับน้ำตาลในกระแสเลือดที่เพิ่มขึ้น เช่น หลังกินอาหาร อินซูลินจะกระตุ้นให้เซลล์ของร่างกายดูดซึมกลูโคสจากกระแสเลือดเพื่อนำไปใช้ เป็นพลังงงานหรือเปลี่ยนเป็นไกลโคเจนเพื่อเก็บไว้เป็นพลลังงานสำรองในตับและ กล้ามเนื้อ ดังนั้นถ้าระดับอินซูลินลดลงก็จะส่งผลให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น
เบาหวานนั้นจำแนกได้เป็นเป็น 3 ชนิดใหญ่ๆ ด้วยกัน ได้แก่
Ø เบาหวานชนิดที่1 เกิดขึ้นเนื่องจากมีปริมาณอินซูลินที่ผลิตจากเบตาเซลล์ของตับอ่อนลดลง ซึ่ง ผู้ป่วยส่วนใหญ่จะเป็นเด็ก แต่ทั้งนี้ก็สามารถเกิดขึ้นกับคนทุกวัย ซึ่งสาเหตุนั้นมาจากเบตาเซลล์ถูกทำลายซึ่งมักเกิดจากภาวะภูมิคุ้มกันเกิด ความผิดปกติทำลายเซลล์ของตัวเอง
Ø เบาหวานชนิดที่ 2 เกิดขึ้นได้จากปัจจัย 2 อย่างด้วยกันได้แก่ปริมาณอินซูลินลดลงและเซลล์ตอบสนองต่อฮอร์โมนอินซูลินช้าลง ซึ่ง เบาหวานชนิดนี้มักพบในผู้ใหญ่ และกว่า 90%ของผู้ป่วยเบาหวานป่วยเป็นเบาหวานชนิดนี้ ซึ่งการรักษาเบาหวานชนิดนี้ต้องปรับพฤติกรรม ต้องออกกำลังกาย ปรับเปลี่ยนการรับประทานอาหาร พยายามลดน้ำหนักเพื่อทำให้ร่างกายตอบสนองต่ออินซูลินเร็วขึ้น
Ø เบาหวานชนิดที่3 เป็นความผิดปกติทั้งในเรื่องของ ปริมาณอินซูลินที่ลดลงและการตอบสนองของเซลล์ต่อฮอร์โมนอินซูลินลดลง ซึ่งคล้ายกับเบาหวานชนิดที่2 แต่เบาหวานชนิดนี้จะเกิดขึ้นกับหญิงตั้งครรภ์และ ภาวะเหล่านี้จะค่อยๆดีขึ้นหรือหายไปหลังจากคลอด ถึงแม้ว่าภาวะเหล่านี้จะเป็นเพียงชั่วคราว แต่ก็ก่อให้เกิดอันตรายต่อเด็กในครรภ์และแม่ได้ และพบว่าประมาณ 40% ของผู้ป่วยเบาหวานชนิดนี้มีแนวโน้มที่เปลี่ยนเป็นเบาหวานชนิดที่2 ได้
ทั้งนี้ความน่ากลัวของเบาหวานไม่ใช่อยู่ที่ระดับน้ำตาลเพียงเท่านั้น แต่สิ่งที่ตามมาคือภาวะแทรกซ้อน อันได้แก่
1. ภาวะตาพร่ามัว ประสาทตาหรือจอตาเสื่อมทำให้การมองเห็นแย่ลง2. ปลายประสาทอักเสบ มีอาการชาหรือปวดร้อนตามปลายมือ ปลายเท้า
3. ไตเสื่อม อาจถึงขั้นไตวาย
4. ผนังหลอดเลือดแดงแข็งตัว ทำให้ความดันเลือดสูง และถ้าหลอดเลือดที่ไปเลี้ยงบริเวณมือและเท้าตีบ จะทำให้เท้าเย็น เกิดเป็นตะคริวได้ง่าย และเมื่อเกิดแผลบริเวณดังกล่าวจะกลายเป็นแผลที่หายยาก
5. เป็นโรคติดเชื้อได้ง่าย เนื่องจากภูมิต้านทานโรคต่ำ
6. เกิดภาวะคีโตซิสซึ่งเป็นภาวะที่ร่างกายมีปริมาณคีโตนมากเกิน ทั้งนี้มักพบในผู้ป่วยเบาหวานชนิดที่1 เนื่องจากร่างกายไม่สามารถนำเอาน้ำตาลไปใช้เป็นพลังงาน ดังนั้นรางกายจึงเผาผลาญไขมันมาใช้เป็นพลังงานแทน ซึ่งการเผาผลาญไขมันจะเกิดคีโตนซึ่งเป็นพิษต่อร่างกาย ซึ่งจะทำให้ลมหายใจมีกลิ่นเหม็น กระวนกระวาย กระหายน้ำอย่างมาก และผู้ป่วยจะซึมลงเรื่อยๆ
การรักษาเบาหวานด้วยแพทย์แผนปัจจุบันนั้นสำหรับเบาหวานชนิดที่1 จะใช้การฉีดอินซูลิน ส่วนเบาหวานชนิดที่2 จะให้ผู้ป่วยรับประทานยาเพื่อควบคุมระดับน้ำตาล ทั้งนี้เป็นที่ทราบกันอยู่แล้วว่ายาส่วนใหญ่จะถูกขับทิ้งที่ตับและไต ดังนั้นการรับประทานยาติดต่อกันเป็นเวลานานเท่ากับเป็นการสร้างภาระให้กับ อวัยวะทั้งสองเพิ่มขึ้น และมีแนวโน้มว่าต้องเพิ่มปริมาณยามากขึ้นด้วย จากที่เคยกินยาลดน้ำตาลวันละ 1 เม็ด ก็เพิ่มจำนวนเป็น 2 เม็ด
สำหรับวิธีธรรมชาติบำบัดแล้ว พืชชนิดหนึ่งซึ่งมีการใช้มานานในทางอายุรเวชของประเทศแถบอินเดียคือ มะระขี้นก (มะระ ขนาดเล็กสีเขียวเข้ม มีผิวขรุขระ มีรสขม) ซึ่งคนไทยเราก็รู้จักกันดีเพราะเป็นอาหารอย่างหนึ่งที่นิยมใช้เป็นผักจิ้ม น้ำพริก และพืชชนิดนี้สามารถใช้ลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าจะเป็นในส่วนของใบ ผล หรือเมล็ด
มะระขี้นกสามารถใช้ลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้เป็นอย่างดีเนื่องจากมะระขี้นกจะกระตุ้นการเปลี่ยนกลูโคสในกระแสเลือดให้เป็นไกลโคเจนที่ตับและยังกระตุ้นการหลั่งอินซูลินจากเบตาเซลล์ของตับอ่อน อีกทั้งยังกระตุ้นการสร้างเบตาเซลล์อีกด้วย ซึ่งการใช้มะระขี้นกก็สามารถใช้ได้หลายวิธีด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็นการคั้นน้ำ รับประทานสด หรือการดื่มในรูปของชามะระขี้นก แต่จากงานวิจัยของB.A. Leatherdale ของ มหาวิทยาลัยแอสตัน พบว่าการคั้นน้ำเป็นวิธีที่ได้ผลดีที่สุด ส่วนวิธีที่มีประสิทธิภาพน้อยที่สุดคือการกินมะระขี้นกที่นำไปแตกแห้ง
นอกจากนี้ยังพบว่าในเมล็ดของมะระขี้นกมีสารชนิดหนึ่งซึ่งมีโมเลกุลคล้าย อินซูลิน และสารชนิดนี้ยังช่วยกระตุ้นการสร้างกรดไขมันในร่าง กาย ตลอดจนออกฤทธิ์ยับยั้งการทำงานของฮอร์โมนที่เกี่ยวข้องการสลายไขมันอีกด้วย
การใช้มะระขี้นกเพื่อลดน้ำตาลในกระแสเลือดนั้นสามารถใช้ได้ผลดีกับผู้ ป่วยเบาหวานทั้ง 2 ชนิด แต่ห้ามใช้ในผู้ที่แพ้พวกแตงเมลอน แคนตาลูป สำหรับหญิงตั้งครรภ์หรือผู้ป่วยโรคตับแล้วการใช้มะระขี้นกจำเป็นต้องอยู่ภาย ใต้การดูแลอย่างใกล้ชิดของแพทย์
มะระขี้นกสามารถออกฤทธิ์ในการลดน้ำตาลได้ภายใน 30-60 นาทีหลังกิน(ซึ่งใกล้เคียงกับการออกฤทธิ์ของZinc crystalline insulin) และจะออกฤทธิ์สูงสุดหลังจากกินไปแล้ว4-12 ชั่วโมง (ฮอร์โมนอินซูลินออกฤทธิ์สูงสุดภายใน 2-3ชั่วโมง) นอกจากมะระขี้นกแล้วยังมีสมุนไพรชนิดอื่นที่สามารถลดน้ำตาลในกระแสเลือดได้ อาทิเช่น อบเชย ว่านหางจระเข้ แต่มะระขี้นกจะออกฤทธิ์ในการลดน้ำตาลได้เร็วกว่าและนานกว่า
นอกจากนี้มะระขี้นกยังช่วยป้องการตีบและหนาตัวของผนังหลอดเลือดแดง ช่วยลดระดับคลอเลสเตอรอลและไตรกลีเซอไลด์ในตับได้อย่างมีประสิทธิภาพ (มะระขี้นกสามารถแก้ไขภาวะคลอเลสเตอรอล ฟอสโฟไลปิดและไตรกลีเซอไรด์ที่เพิ่มสูงขึ้นอันเป็นผลข้างเคียงจากการรับ ประทานยาลดน้ำตาลติดต่อกันเป็นระยะเวลานานให้เข้าสู่ระดับปกติได้ เมื่อรับประทานมะระขี้นกติดต่อกัน 10 สัปดาห์)
พบว่าการดื่มน้ำคั้นมะระขี้นก (ใช้มะระขี้นก 1-2 ผลคั้นร่วมกับผักผลไม้ชนิดอื่น เพื่อลดความขม แต่ทั้งควรเป็นผลไม้ที่มีน้ำตาลไม่มากนัก เช่น แอปเปิ้ลเขียวจะดีกว่าแอปเปิ้ลแดง วันละ 1 แก้วในตอนเช้าก่อนรับประทานอาหาร และถ้าเป็นไปได้อีก 1 แก้วในช่วงเย็น) ร่วมกับการดื่มชามะระขี้นกหลังมื้ออาหารทุกมื้อ (หรืออาจใช้เป็นน้ำต้มใบชะพลูแทนชามะระขี้นก) สามารถลดระดับน้ำตาลได้ดี แต่ทั้งนี้ต้องปรับเปลี่ยนพฤติกรรมการรับประทานอาหารร่วมด้วย
หมายเหตุ มะระขี้นกจะกระตุ้นการบีบตัวของลำไส้ ดังนั้นการใช้มะระขี้นกอาจทำให้ถ่ายท้องได้ ซึ่งถ้ามีอาการถ่ายท้องมากเกินไป ให้ปรับลดปริมาณของมะระขี้นกที่ใช้ให้น้อยลงได้
ผู้ป่วยเบาหวานควรหลีกเลี่ยงการรับประทานแป้งขัดสี น้ำตาล แต่ควรรับประทานข้าวกล้อง หรืออาหารประเภทคาร์โบไฮเดรตที่มีกากปริมาณมากเนื่องจากจะใช้เวลาในการย่อย นานกว่าแป้งที่ผ่านการขัดสี ทำให้ระดับน้ำตาลในกระแสเลือดค่อยๆเพิ่มอย่างช้าๆ สำหรับอาหารประเภทโปรตีนนั้นควรลดปริมาณโปรตีนที่มาจากสัตว์ แต่ควรรับประทานโปรตีนที่มาจากพืช เช่น ถั่ว เต้าหู้ เนื่องจากในถั่วนั้นมีสารเลซิตินและโคลีนปริมาณมากซึ่งช่วยป้องกันภาวะแทรก ซ้อนที่เกี่ยวกับเส้นประสาทอันเนื่องจากเบาหวานได้ สำหรับผลไม้แล้วควรเป็นผลไม้ที่ไม่หวานนัก และควรหลีกเลี่ยงผลไม้ที่มีรสหวานมากตลอดจนผลไม้แห้ง และอาหารส่วนใหญ่กว่า 75%ของอาหารในแต่ละมื้อ ควรจะเป็นอาหารที่ยังไม่ผ่านการปรุงสุก ทั้งนี้ปริมาณอาหารที่รับประทานในแต่ละมื้อไม่ควรมากนัก แต่สามารถรับประทานได้บ่อยขึ้นถึงวันละ 6 มื้อ
นอกจากอาหารที่ดีแล้ว การออกกำลังกายก็เป็นอีกปัจจัยหนึ่งที่ต้องคำนึงถึง ผู้ป่วยเบาหวานควรออกกำลังกายเป็นประจำ อย่างน้อยวันละ 20-30 นาที เช่น การเดินเร็วซึ่งเป็นการออกกำลังกายที่ค่อนข้างปลอดภัย สุดท้ายภาวะจิตใจที่ดีและการพักผ่อนที่เพียงพอนั้นก็เป็นสิ่งสำคัญเช่นกัน
ข้อมูลจาก http://blog.siamherbal.com
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น